ไม่ได้มาเสียนาน ช่วงนี้ร้านอาหารในดวงใจคือร้าน Whale’s Belly ให้บริการมื้อเที่ยงและเย็นวันสุดสัปดาห์ด้วยรายการสุดพิเศษที่ให้คุณได้ชิมเมนูเด็ดมากมายในสไตล์ all you can eat ที่ราคา 1190++ สำหรับ Weekend Lunch และราคา 1690++ สำหรับ Premium Dinner ที่มีของสุดหรูอย่างสเต็กเนื้อและ Oyster รวมอยู่ด้วย
สนนราคานี้ต้องถือว่าคุ้มสุดๆ เพราะคุณจะได้ลองเมนูแบบพรีเมียมที่ใช้วัตถุดิบราคาสูงได้หลายจานโดยไม่ต้องกลัวงบจะบานปลาย
คุ้มแค่ไหนตามไปดูเมนูกันดีกว่าค่ะ
ร้าน Whale’s Belly นั้นอยู่ที่สุขุมวิท 39 การตกแต่งอันสวยงามภายในร้านได้แรงบันดาลใจมาจากนิทาน The Adventures of Pinocchio ในฉากที่ Pinocchio เข้าไปอยู่ในท้องของวาฬ ภายในร้านจึงมีพื้นที่กว้างขวางราวกับอยู่ในท้องของวาฬตัวใหญ่ ส่วนเพดานของร้านตกแต่งด้วยไม้ระแนงลักษณะโค้งเว้าเหมือนซี่โครงของวาฬ
โทนสีที่ใช้เป็นสีน้ำเงิน-ขาว ให้ความรู้สึกราวกับว่าเรากำลังอยู่ในท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ประดับด้วยไฟเล็กๆ สวยงาม
ก่อนอาหารจะเสิร์ฟทางร้านก็จะมี Charcoal bread ขนมปังถ่านสีดำ กรอบนอก นุ่มใน เคียงมากับ Truffle butter หอมๆ และ Chicken liver pate ตับไก่บดเนื้อนุ่มเนียน มาให้ทานรองท้องกันก่อนด้วย
สำหรับเมนู all you can eat Lunch นั้น ในส่วนของจาน Starter ก็จะมีจานเด่นๆ ของร้าน
ตั้งแต่ Signature dish อย่าง Yuzu tuna cold capellini
เมนูเด็ดที่คุณเชฟนำไปใช้ต่อสู้ในฐานะผู้ท้าชิงในรายการ Iron chef Thailand จนได้ชัยชนะเหนือเชฟกะทะเหล็กมา
จานนี้ชิมแล้วก็เข้าใจเลยว่าทำไมถึงเป็นหนึ่งในเคล็ดลับพิชิตใจคณะกรรมการ เพราะเนื้อปู (Blue crab meat) ก็ให้มาเยอะแบบไม่หวง ตัวเส้นพาสต้าเล็กบางทำสุกมากำลังหนืดพอดีๆ แบบ al dente เพิ่มกลิ่นหอมด้วย white truffle พาสต้าจานนี้ออกรสเผ็ดเด่นแล้วจึงมีรสเปรี้ยวนิดๆ ของ yuzu vinaigrette ที่ให้กลิ่นหอมเฉพาะตัว โรยหน้าด้วย caviar อีกที
Blue Crab Salad ก็เป็นอีกจานที่เบาๆ น่าลอง เนื้อปู Blue Crab ที่เสิร์ฟมากับสลัดราดน้ำสลัดบาลซามิก รสชาติสดชื่น
หรือจะลอง Salmon Tartare ก็เป็นอีกจานทานง่าย แซลมอนดิบเนื้อนุ่ม มีความหอมมันเค็มของไข่ปลาแซลมอน เพิ่มความน่าสนใจด้วย แผ่น parmesan crisp กรอบๆ ให้รสสัมผัสที่ตัดกัน
นอกจากนี้ก็ยังมีเมนู Whale’s Belly Caesar Salad ที่ใช้ผักไฮโดรโพนิกส์ของโครงการหลวง โรยด้วย crouton กับ parmesan
และที่ต้องยกนิ้วให้ว่าเด็ดสุดๆ ก็คือ 62C Onsen Egg เมนูแปลกใหม่ที่เชฟรังสรรค์ขึ้น
ไข่ที่ Sous Vide มาด้วยอุณหภูมิ 62C ทำให้ออกมาเยิ้ม แต่ไม่ได้เยิ้มเหมือน poached egg จะเยิ้มแบบหนึบข้นมี texture
มาคู่กับสาหร่ายโนริ และซอสสูตรเฉพาะ ที่ไม่รู้เนรมิตอย่างไรให้ออกมาได้กลมกล่อมเข้ากันสุดๆ
ถ้าเป็นมื้อเย็นในชุด Premium Dinner หมวดนี้ก็จะได้ทานกันอย่างสุดหรูเพราะมีทั้ง Oyster สดที่สั่งได้คนละมากสุดถึง 6 ตัว
ของเค้าดีจริง รสหวานอ่อนๆ สดชื่น เสิร์ฟคู่กับน้ำจิ้มทะเลรสจัดจ้าน
และยังมี Smoked Duck Salad เพิ่มขึ้นมาจากตอนกลางวัน ใน Premium Dinner ด้วย
Truffle soup ซุปครีมเห็ดทรัฟเฟิลหอมกรุ่น ด้านบนเป็น white truffle foam ชอบที่มีอัลมอนด์ฝานบางมาในซุปด้วยและทำรสชาติออกมาได้นุ่มนวลกลมกล่อมไม่เค็มจนเกินไป
และ Lobster bisque soup ที่ทำออกมาได้กลิ่นและรสของล็อบสเตอร์เน้นๆ เข้มข้น
อีกหมวดที่ไม่ควรพลาดคือหมวดพาสต้าที่วันนี้เราเลือกลอง Bisque Risotto and Prawn
กุ้งปรุงรสชาติมาได้เข้มข้นส่วนตัวข้าวนั้นความนุ่มแข็งทำออกมาได้พอดีไม่เละ กำลังน่ากิน เนื้อ risotto เนียนละมุนคู่ไปกับ bisque ที่ให้กลิ่นและรสของกุ้งมาเต็ม
อีกจานเส้นที่ชิมคือ Spaghetti arrabiatta จานนี้ออกเผ็ด ใครที่ทานเผ็ดได้น้อยอย่าลืมแจ้งบริกรให้ลดระดับความเผ็ดลงเสียหน่อยจะช่วยได้มากค่ะ
และจานที่ปลื้มมากๆ ของพาสต้าอีกจานในวันนี้คือ Mc’N Cheese Ravioli ไอเดียเก๋ไก๋ ตัวนี้ราวิโอลีเป็นราวิโอลีทำมือของทางร้านเนื้อแป้งจึงออกมารสสัมผัสพอดิบพอดี
และแล้วก็ถึงเวลาของอาหารจานหลัก
วันนี้เรามี King Salmon ปลาแซลมอนชิ้นโตเสิร์ฟมาบนซอส pomodoro รสชาติซอสมะเขือเทศที่สดชื่นเข้ากันได้ดีกับปลาแซลมอนที่ sous vide มาจนนุ่มชุ่มฉ่ำทั่วกันทั้งชิ้นก่อนที่จะนำไปจี่จนหนังกรอบ
และยังมี Silver Sea Bass ที่เสิร์ฟมาพร้อมกับ anchovy butter และ white wine-chive sauce รสละมุน ถือเป็นซอสสูตรพิเศษที่อร่อยหาตัวจับยาก
บอกเลยว่าร้านนี้เป็นหนึ่งในร้านที่ execute จานปลาได้ดีที่สุดเท่าที่เคยเจอมาในกรุงเทพ ไม่ว่าจะทำปลาอะไรก็ทำได้หนังกรอบส่วนเนื้อปลานุ่มฉ่ำสั่งกี่ครั้งก็ทำออกมาแม่นยำเสมอ
และยังมี Bacon-wrapped king tiger prawn กุ้งสดกรอบห่อด้วยเบคอนเค็มมัน เมนูที่ถูกใจผู้คนโดยเฉพาะเด็กๆ เพราะทานง่าย
จานเนื้อๆ หน่อยก็จะมี Wine-braised Wagyu cheek หรือ pork cheek
หรือใครชอบแกะก็จัด Slow-cooked lamb shoulder กันได้
ถ้าซอฟท์ๆ เอาสักเนื้อไก่ก็จะแนะนำ Coq au vin ไก่อบซอสไวน์แดงเนื้อนุ่ม
จานหลักที่มีใน Premium Dinner จะมี Australian Striploin Steak ราดซอสเกรวี่รสเข้มข้น เสิร์ฟพร้อมมันบดที่ตีมาเนียนละเอียดหอมเนย
อยากกระซิบว่า มันบดที่นี่เนื้อเนียนเบาฟูนุ่มละมุนที่สุดเท่าที่เคยกินมาในไทย น่าประทับใจมากจนอยากสั่งกลับบ้าน
รวมไปถึง Australian Mussels white wine ที่เพิ่มจากเมนูของมื้อกลางวันมาใน Premium Dinner
จบเมนูอาหารจานหลักกันไปอย่างอิ่มเอมใจ
ปิดท้ายด้วย เมนูขนมหวานสุดอร่อย
งานนี้คุณจะได้ชิมทั้ง Sabayon aux fruits gratine ผลไม้รวมหลากหลาย ทั้งสตรอเบอร์รี่ ส้ม และเบอร์รี่ชนิดต่างๆ ราดด้วยซอส Sabayon ที่ทำจากไข่แดง น้ำตาลและไวน์ เป่าไฟมาเยิ้มๆ หอมหวาน
Affogato เมนูรสขมอมหวานที่ชายหนุ่มชื่นชอบ กับ espresso รสลุ่มลึกร้อนๆ ที่มากับ coco-rosemary crumble และ vanilla bean ice cream เป็นเมนูร้อน-เย็นที่ผสมกลมกลืนกันอย่างลงตัว
ต่อด้วย French Crepe Suzette เนื้อนุ่มราดซอสส้มที่ผสมลิคเคอร์รสส้ม Grand Manier มาอย่างเต็มที่ ตัวซอสเปรี้ยวจัดและหวานจัด ที่ชอบเป็นพิเศษคือตัวเนื้อส้มชิ้นๆ และเปลือกส้มฝานบางด้านบน ที่ออกหอมๆเปรี้ยวๆแบบพอดีๆ
จานนี้ต้องทานกับไอศกรีมวนิลาช่วยตัดความหวานและเพิ่มความเย็นสดชื่น
ส่วน Belgian Couverture Chocolate Brownie นั้นเป็นเมนูที่คนรักช็อกโกแลตจะต้องฟินมาก เพราะช็อกโกแลตนั้นเข้มข้นสุดๆ
ล้างปากปิดท้ายด้วย Ice Cream/ Sorbet จาก New Zealand ที่มีให้เลือกทั้ง Vanilla, Chocolate, Mango & Very Berry
จะเห็นได้ว่าเมนูที่นี่มีให้เลือกเยอะมาก โดยเฉพาะมื้อเย็นที่เพิ่มราคาเพียงนิดเดียวแต่ได้เมนูพรีเมียมและหอยนางรมดิบมากินกันได้อย่างเปรมปรีดิ์
โดยราคาพิเศษนี้สำหรับชำระด้วยเงินสดเท่านั้น บัตรเครดิตจะชาร์ตเพิ่ม 3% จากยอดบิล และ มีเวลาจำกัดที่ 2 ชม. ซึ่งพนักงานจะนับจากจานแรกลง และมีการเตือนเรื่องเวลา (และเชียร์ให้ออเดอร์นู่นนี่นั่นเพิ่ม) ทำให้กินได้อย่างสบายอารมณ์ไม่ต้องกังวล
คุ้มขนาดนี้แนะนำให้มาลองประสบการณ์อาหารฝรั่งเศสรสเลิศที่สุดแสนจะประทับใจได้ที่ Whale’s Belly กันเลยค่ะ