ทีมงานได้รับเชิญจาก Moët Hennessy Diageo Thailand ให้ไปร่วมงาน A Luxury Wine Dinner ที่จัดขึ้นที่ร้าน El Gaucho มาค่ะ นอกจากเราจะได้อิ่มอร่อยกับสเต็กชั้นดีแล้ว เรายังได้ดื่มด่ำ Premium Luxury Wine จากแบรนด์ชั้นนำระดับโลกในเครือ Moët Hennessy อีกด้วย
เริ่มต้นมื้อนี้ด้วย Chandon Brut 2015 จากออสเตรเลีย
Chandon เป็นแบรนด์ลูกของ Moët & Chandon ราคาสปาร์คกลิ้งไวน์จะจับต้องได้ง่ายกว่าแต่ยังคงคุณภาพสูงเช่นเดียวกับแชมเปญ การผลิตสปาร์คกลิ้งไวน์ของ Chandonใช้วิธีเดียวกับการผลิตแชมเปญแบบดั้งเดิมในประเทศฝรั่งเศสที่เรียกว่า Traditional Method กระบวนการเกิดฟองทั้งหมดเกิดขึ้นตามธรรมชาติภายในขวด ไม่ได้เกิดจากการอัดแก๊สเข้าไป เวลาดื่มไวน์จะสัมผัสได้ถึงฟองที่นุ่มและละเอียดกว่าสปาร์คกลิ้งไวน์ทั่วไป
ไวน์นี้ผ่านการหมักบ่มอย่างน้อย 18 เดือน โดยใช้องุ่นพันธุ์ Pinot Noir, Pinot Meunier, Chardonnay ด้วยระยะเวลาและส่วนผสมขององุ่นทั้งสามพันธุ์นี้ทำให้ไวน์มีรสชาติซับซ้อน และมีรสชาติที่สดชื่นนุ่มนวลของผลไม้ตระกูล citrus แอปเปิ้ล แพร์ หอมกลิ่นวอลนัทและเครื่องเทศอ่อนๆ ด้วยความที่รสชาติออกสดใส ไม่หนักจนเกินไป และออกไปทางผลไม้ หอมหวานนิดๆ ทำให้ Chandon Brut เหมาะสำหรับดื่มเพื่อเรียกน้ำย่อย
เราดื่มไวน์นี้คู่กับขนมปัง อบมากรอบ อร่อย ทานพร้อมกระเทียมสด และ garlic butter
หรือจะดื่มกับอาหารรสชาติอ่อนอย่าง Cheese Platter ที่มีทั้งชีส วอลนัท องุ่น และ Avocado Salad ก็ได้ค่ะ
ต่อกันด้วย Cape Mentelle Cabernet Merlot Trinders Vintage 2014 จากไวน์เนอรี่เก่าแก่ในเขตลุ่มแม่น้ำมาร์กาเรต (Magaret River) ฝั่งตะวันตกของประเทศออสเตรเลีย ชื่อแบรนด์ตั้งชื่อตาม Cape Mentelle ในเขตลุ่มแม่น้ำนี้ พื้นที่บริเวณนี้มีดินอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่ธาตุ และมีภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน คล้ายกับภูมิอากาศที่เมืองบอร์โด ประเทศฝรั่งเศส เหมาะสำหรับการปลูกองุ่นให้ได้คุณภาพสูงเพื่อนำมาใช้ผลิตไวน์ระดับพรีเมียม
ความพิเศษของ Cape Mentelle คือ ใช้เทคนิคการผลิตไวน์โดยการบ่มองุ่นมากกว่าหนึ่งสายพันธุ์ร่วมกันตามสไตล์ดั้งเดิมเหมือนการผลิตไวน์ของเมืองบอร์โด โดยบ่มองุ่น Cabernet Sauvignon และ Merlot ไวน์ที่เราดื่มวันนี้บ่มในถังไม้โอ๊กฝรั่งเศสนานถึง 18 เดือน และผ่านกระบวนการ Malolactic Fermentation ทำให้ Acidity ลดลง เกิดรสสัมผัสที่นุ่มละมุนมากขึ้น
พันธุ์องุ่นที่ใช้มี Cabernet Sauvignon 64%, Merlot 29%, Petit Verdot 5% , Cabernet Franc 2% มีบอดี้กลางถึงหนัก (Medium to full bodied) หอมกลิ่น blackcurrant, tobacco, cacao nibs เมื่อดื่มแล้วจะได้รสชาติของ blackcurrant, mulberry, plum ที่สุกเต็มที่ ตามด้วยรสหวานเล็กของคาราเมล โกโก้ และได้รสฝาดของแทนนิน
ข้ามจากออสเตรเลียมาดื่มไวน์ฝั่งอาร์เจนตินากันบ้าง มาถึงร้านสเต็กสไตล์อาร์เจนติเนียนแล้วก็ต้องดื่มไวน์ชั้นดีจากอาร์เจนตินาอย่าง Terrazas Reserva Malbec Vintage 2015 ควบคู่กันไป
เป็นที่ทราบกันดีในหมู่นักดื่มไวน์ว่าองุ่น Malbec เป็นสายพันธุ์องุ่นที่ปลูกได้มากที่สุดในอาร์เจนตินา ไร่องุ่นของ Terrazas ตั้งอยู่กลางเมือง Mendoza บนเทือกเขาอินดีส แหล่งผลิตไวน์ที่สำคัญของประเทศ มีข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ ด้วยความที่สภาพอากาศในบริเวณนี้แตกต่างกันมากระหว่างช่วงกลางวันและกลางคืน และมีปริมาณน้ำฝนที่น้อยมากต่อปี ทำให้ต้นองุ่นที่ปลูกที่ระดับความสูง 1,070 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลนี้แข็งแรง ส่งผลให้องุ่น Malbec ของ Terrazas มีคุณภาพดีและรสชาติเข้มข้นมากกว่าองุ่นที่ปลูกในแหล่งอื่น
น้ำไวน์สีแดงเข้มประกายม่วง ให้รสสัมผัสแบบ Full-bodied มีกลิ่นหอมโดดเด่นแบบ floral และ fruity ของ black cherry และ plum ผสานกับกลิ่นช็อกโกแลตและพริกไทยดำ อันเกิดจากหมักบ่มในถังไม้โอ๊กฝรั่งเศสยาวนานถึง 14 เดือน พอดื่มเข้าไปได้จะได้รสสัมผัสที่หวาน ล้ำลึกแต่นุ่มนวลของ blackberry และ plum ชัดเจน ได้รสแทนนินอ่อนๆ รวมถึงความหอมนุ่มของวานิลลาและคาราเมล เราเลือกทานคู่กับ Rib Eye Steak ที่ย่างมาได้นุ่ม ฉ่ำ เมื่อทานกับซอสไวน์แดงและเกลือที่ทำจากไวน์ Terrazas ก็อร่อยลงตัวยิ่งขึ้น
ปิดท้ายค่ำคืนแสนพิเศษนี้ด้วย Cheval Des Andes Vintage 2013 ไวน์คุณภาพยอดเยี่ยมที่ได้รับคะแนนสูงถึง 98 คะแนนจาก James Suckling นักชิมไวน์ระดับโลก
Cheval Des Andes เป็น Joint Venture ระหว่าง Château Cheval Blanc ไวน์เนอรี่ชั้นนำจากฝรั่งเศสที่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตไวน์ชั้นเยี่ยม และ Terrazas de los Andes ไวน์เนอรี่ของอาร์เจนตินาที่มีศักยภาพในการปลูกองุ่น Malbec และ Cabernet Sauvignon คุณภาพสูง
ไวน์ของ Cheval Des Andes จัดเป็น Grand Cru of the Andes เหมือนกับที่ไวน์ของ Château Cheval Blanc เป็น Premier Grand Cru Classé A of Saint-Emilion คำว่า Grand Cru แปลว่า Great growth เป็นการแบ่งประเภทของไวน์โดยบ่งบอกถึงศักยภาพของไร่องุ่นในพื้นที่นั้นและคุณภาพของไวน์
Vintage 2013 นี้ใช้วิธีผลิตแบบ Bordeaux Blend โดยผสมองุ่นพันธุ์ Malbec 67% และพันธุ์ Cabernet Sauvignon 25% ส่วนที่เหลือเป็นพันธุ์ Petit Verdot ทำให้ไวน์มีรสชาติซับซ้อนยิ่งขึ้น และไวน์จะถูกผลิตเฉพาะปีที่ผลผลิตขององุ่นแต่ละสายพันธุ์มีคุณภาพถึงมาตรฐานที่ตั้งไว้เท่านั้น (ไม่มีการผลิตไวน์ปี 2000)
น้ำไวน์สีแดงเข้มประกายม่วง ให้กลิ่นของหอมของ violet flower ตามด้วย raspberry, blackcurrant แฝงความหอมของพริกไทยดำและซินนาม่อนเล็กน้อย ได้รสชาติเข้มข้นแต่สดชื่นของ blackberry และ cherry ถึงจะเข้มข้นแบบ Full-bodied แต่ยังคงความนุ่มละมุน ฝาดน้อย ดื่มง่าย ตอนจบมีกลิ่นช็อกโกแลต และมี after taste ค่อนข้างยาว
เราดื่มไวน์ตัวนี้คู่กับ Filet Steak เนื้อนุ่มที่เพิ่มรสชาติด้วยซอส blue cheese และ wild mushroom ทุกอย่างเข้ากันได้ดีมาก เป็นการปิดท้ายมื้อนี้ได้อย่างประทับใจ
ใครอยากดื่มไวน์ทั้ง 4 ตัวที่เราแนะนำไปในบทความนี้ สามารถหาซื้อได้ที่ Gourmet Market, Villa Market หรือสั่งจาก wine-now ก็ได้ หากมีโอกาสขอแนะนำให้ลอง Wine Pairing รับรองว่าจะทำให้คุณสัมผัสประสบการณ์ในการทานอาหารที่แตกต่าง น่าสนใจ และสนุกยิ่งขึ้นไปอีกแน่นอน
Drink Responsibly 🙂
อ่านบทความเกี่ยวกับไวน์เพิ่มเติมได้ที่
Wine 101: จิบไวน์อย่างไรให้มีสไตล์? 3 วิธีง่ายๆ ที่ให้คุณดื่มไวน์ด้วยมาดกูรู
จิบไวน์อย่างสุนทรีย์ก็ทำได้ในบ้านคุณ! รู้ไหมไวน์ชั้นดีสั่งได้ที่ wine-now.com
Wine 101: มาทำความรู้จักกับ Riesling กันดีกว่า
จิบไวน์อย่างไรให้มีสไตล์…ง่ายๆ กับชุดแก้วคริสตัลดีไซน์หรู “Lucaris”