สวัสดีค่ะ
วันนี้จะพาทุกคนไปพบกับบรรยากาศเรียบหรูสไตล์ปารีเซียง อาหารฝรั่งเศสรสเลิศ และขนมหวานสุดอร่อยจากแบรนด์ระดับโลกอย่าง Ladurée Thailand ได้ที่ Siam Paragon ชั้น M นะคะ
หลายๆ คนคงดีใจเมื่อได้ยินข่าวว่า Laduree แบรนด์ดังจากฝรั่งเศสจะมาเปิดที่เมืองไทย
ผู้เขียนเองก็เป็นหนึ่งคนที่เป็นแฟนคลับแบรนด์ระดับโลกอย่าง Laduree มาอย่างเหนียวแน่น ถึงขั้นต้องเดินทางไปถึงนิวยอร์กเพื่อไปซื้อมาการองมาชิมเลยทีเดียว
ดังนั้นพอได้ยินว่า Laduree จะมาเปิดร้านในไทย ก็เลยหยอดกระปุกเตรียมควักกระเป๋าเต็มที่ แล้วก็ไม่ผิดหวังเพราะมาการองของที่นี่อร่อยสมคำร่ำลือ
ตัว Shop นั้นตั้งอยู่ที่ชั้น M ของสยามพารากอน
นอกจากจะมีทั้งมาการองสุดฮิตแล้ว ทางร้านก็ยังมีผลิตภัณฑ์จากฝรั่งเศสมาวางขายอีกมากมาย
อาทิเช่น ใบชา แยม และน้ำผึ้ง แบบพรีเมี่ยม ขนมหวานในกล่องกระจุ๋มกระจิ๋มที่เหมาะกับการซื้อหาเป็นของฝาก และยังมีหนังสือไปจนถึงพวกกุญแจและกระเป๋าอีกด้วย
และในปีนี้ทาง Ladurée Thailand ก็มีเรื่องให้แฟนๆ ดีใจกันอีกรอบเมื่อทางร้านตัดสินใจที่จะเปิด Laduree Boutique ร้านอาหารแบบ full function ที่จะมีทั้งอาหารคาวหวานและเค้กที่โด่งดังในความอร่อยมาวางขายให้แฟนๆ ที่ตั้งตารอคอยได้ชิมกันเสียที
และเค้กน่าทานเหล่านี้ รวมทั้ง Pastry อีกหลายชนิดก็มีวางขายใน Shop ให้เลือกซื้อหากลับบ้านไปทานก็ได้เช่นกัน
ส่วนใครที่อยากนั่งสวยๆ จิบชา คู่กับเค้กยามบ่าย หรือจะทานอาหารมื้อเที่ยงมื้อเย็นในบรรยากาศคลาสสิกราวกับอยู่ที่ปารีสก็ไม่ปาน ทางร้านก็มีพื้นที่กว้างขวาง ตกแต่งสไตล์ Parisian ให้ได้นั่งทานกัน
สำหรับ Laduree Boutique นั้น จะตั้งอยู่ที่ลานด้านนอก ตรงข้ามกับตัว Shop เลย
ดีไซน์ที่ให้มีเพดานสูงทำให้รู้สึกโปร่งสบาย และ Chandelier ที่ประดับประดารวมถึงลวดลายตามฝาผนังก็ทำให้รู้สึกว่าเราได้ย้อนยุคย้อนเวลากลับไปในสมัยศิลปะรุ่งเรืองของฝรั่งเศสเลยทีเดียว
เข้ามานั่งแล้วเราก็พิจารณาดูเมนูกัน
ฝั่งเครื่องดื่มนั้นมีมากมายหลายเมนูทั้ง น้ำผลไม้ ชา กาแฟ ไวน์ แชมเปญ เบียร์ ครบ และสำหรับสาวๆ ที่ชอบเครื่องดื่มสีสวยหวาน ทางร้านก็มีทั้ง Alcoholic & Virgin Cocktails ให้ได้ลอง
เราเลือก Mojito Litchi (420B) ที่มีความพิเศษอยู่ที่กลิ่นลิ้นจี่หอมละมุนจาก Lychee Liqueur ที่นำมาผสมตามสูตรเฉพาะของ Laduree เค้า แถมด้านบนก็มีลิ้นจี่ลูกโตมาให้อีกสองลูกถูกอกถูกใจสาวๆ
และ Romantique (280B) เครื่องดื่มชื่อหวานๆ ที่เป็นชา Melange ของ Laduree เอง ผสมกับ Violet syrup Raspberry nectar และ Pineapple juice ออกมาหวานหอมกำลังพอดี ไม่ได้หวานมากจนเกินไป
จากนั้นทางร้านก็เสิร์ฟ ขนมปัง complimentary
ชุดนี้ก็มีโรลให้หลายแบบ ทั้งแบบที่มีงาขาว และแบบที่มี poppy seed เสิร์ฟมาอุ่นๆ กรอบๆ ห่อผ้ามาเพื่อรักษาอุณหภูมิให้อุ่นอยู่ได้นาน แสดงถึงความใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของทางร้านได้เป็นอย่างดี
สำหรับใครที่มาสายสุขภาพ อยากมาทานของว่างเล็กๆ น้อยๆ ที่นี่ก็มีสลัดให้เลือก
เราลอง Salade Laduree (320B) ที่ประกอบด้วย Mizuna, Artichoke, Snap pea, Green asparagus, Tomato และ Mozzarella
ที่ชอบเป็นพิเศษ เห็นจะเป็น sun-dried tomato ที่ออกเค็มนิดๆ และแผ่น Chips บางกรอบที่บางจนเหลือเชื่อ แถมยังมีโรยเมล็ดทานตะวันเพื่อสร้างรสสัมผัสกรุบๆ เพิ่มเติมให้กับจานนี้
หากใครที่อยากทานแนวอาหารเช้า ที่นี่ก็มี omelet หลายแบบให้เลือกเช่นกัน
แต่วันนี้เราอยู่ในอารมณ์อยากลองอะไรที่ท้าทายกว่านั้นอีกนิด เลยสั่งเป็นเมนู Foie gras de canard (650B)
ฟัวกราส์จานนี้เป็น Terrine ที่ทานแบบเย็น มีลูกเล่นด้วยไส้ถั่วพิสตาชิโอตรงกลาง ทางร้านทำมาได้นุ่มเนียนจนคนทานเคลิบเคลิ้ม ด้านข้างเป็น Pistachio puree และ Mango chutney ที่เพิ่มรสอมเปรี้ยวอมหวานให้กับจานนี้ และ มี ขนมปังไส้ลูกเกดอบกรอบมาให้ทานเคียง และเอาใจกันด้วยการใส่มาการองพิสตาชิโอเพิ่มมาให้ได้ฟินกัน
จานนี้นี่บอกได้เต็มปากเต็มคำเลยว่าเป็นหนึ่งในจาน Foie gras terrine ที่ดีที่สุดที่กินมาในเมืองไทย
ใครที่ชอบความนุ่มเนียนและหอมมันของฟัวกราส์ เชียร์ให้ชิมจานนี้สุดใจเลยค่ะ
ถัดมาเป็นจานปลากันบ้าง เราเลือก Saumon (550B) ที่มี baby carrots นุ่มๆ เสิร์ฟมากับปลาแซลมอนที่ปรุงรสด้วยเครื่องเทศสไตล์ที่คล้ายๆ กับ ไก่ tandoori ที่คนชอบอาหารอินเดียคุ้นเคย เป็นอีกจานที่ปรับแต่งอาหารให้ร่วมสมัยขึ้นด้วยการเพิ่ม spice ต่างชาติที่ไม่ใช้ตำรับฝรั่งเศสดั้งเดิมมาเป็นลูกเล่น
ส่วนตัวชอบที่ทำหนังปลาได้กรอบนิดๆ เค็มอ่อนๆ และมีความเผ็ดเล็กน้อยให้น่าสนใจ และชอบ carrot puree นุ่มๆ ด้านล่าง ที่อร่อยจนปาดทานกันจนเกลี้ยงจาน
และแล้วก็มาถึงพระเอกของงาน อาหารจานเด่นที่เป็นสูตรฝรั่งเศสสุดคลาสสิก Vol au vent (750B)
จานนี้มีการเสิร์ฟ table side โดย เสิร์ฟตัว puff pastry mujมีรูปร่างเป็นเอกลักษณ์คือทำมาเป็นชั้นๆ แล้วราดซอสที่มีทั้งเนื้อไก่ที่ตุ๋นจนนุ่มและเห็ดป่าด้านบน
อิ่มอร่อยกับอาหารฝรั่งเศสกันแล้วก็มาต่อกันที่ขนมฝรั่งเศสที่พลาดไม่ได้ของที่นี่ อย่าง Pain Perdu Rose Framboise Laduree (450B)
French Toast จานพิเศษนี้มากับ Raspberry สด และซอส Raspberry รสเปรี้ยว และ Rose Chantilly Whipped Cream ที่หวานอ่อนๆ และหอมกลิ่นกุหลาบ
วิปครีมและซอสนั้นตักเองราดเองได้มากน้อยตามชอบใจ
เท่านั้นยังไม่พอ คนรักของหวานจะต้องร้องว้าวเมื่อบริกรนำเค้กนับสิบออกมาให้คุนเลือกกันทั้งถาดถึงข้างโต๊ะ
แน่นอนว่าต้องมีเค้กสุดคลาสสิกอย่าง Mont blanc, Mille feuille, Fruit tarts แต่ละอันก็มีความพิเศษตามแบบฉบับ Laduree อีกเช่นเคย ทั้ง Mont blanc ที่มี dry meringue และ chestnut vermicilli และ Millefeuille ที่ใช้เป็น caramelized puff pastry กับ vanilla cream
ทุกชิ้นน่าทานจนตัดสินใจไม่ได้เลยเลือกกันอยู่นานสองนาน แต่ชิ้นที่รูปร่างหน้าตาสวยงามจนชนะใจไปนั้นคือ Saint Honore Pistachio (350B) ที่มีสตรอเบอร์รี่สด บน puff pastry และ cream puff pastry พร้อมตัวครีมที่เป็นรสพิสตาชิโอ
อันนี้ตัดสินใจถูกมากเพราะเนื้อนุ่ม รสชาติละมุน โดนใจ
โดยรวมแล้วประทับใจเป็นอย่างมากทั้งกับบรรยากาศ บริการ และอาหาร ร้านนั่งสบายได้บรรยากาศ บริกรดูแลอย่างดีไม่มากไม่น้อยจนเกินไปแต่มีความใส่ใจในรายละเอียดอย่างที่คาดหวังไว้กับร้านอาหารระดับนี้ที่มีแบรนด์เป็นประกัน
ในส่วนของอาหาร แน่นอนว่าร้านนี้ไม่มีพลาด เพราะคัดสรรวัตถุดิบอย่างดีนำเข้าโดยตรงจากฝรั่งเศส ตัวเมนูเองก็ได้รับการออกแบบจากเชฟชาวฝรั่งเศสและตัวเชฟที่ทำอยู่ปัจจุบันก็ได้รับการ train ที่ฝรั่งเศสก่อนจะมาประจำที่ไทย มีการควบคุมคุณภาพให้ได้มาตรฐานไม่ให้เสียชื่อของแบรนด์ที่สั่งสมมานาน ราคาค่อนไปทางสูงเล็กน้อยแต่ก็ถือว่าไม่แพงเท่าที่คาดการณ์ไว้ตอนแรกเมื่อนับว่าเป็นร้านดังและตั้งอยู่ในทำเลดีอย่างสยามพารากอน
สรุปว่าชอบมาก ไม่ผิดหวัง และแนะนำให้คุณๆ ลองตามไปชิมความอร่อยของอาหารและขนมหวานสูตรฝรั่งเศสของ Laduree กันค่ะ