กลับมาคราวนี้มีร้านอาหารในดวงใจคือร้าน “Whale’s Belly” มาแนะนำให้ทุกคนค่ะ
ร้านนี้เป็นร้านอาหารฝรั่งเศสระดับหรูที่ปกติแล้วจะเปิดบริการเฉพาะดินเนอร์ แต่ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้เป็นต้นไป ทางร้านจะให้บริการมื้อเที่ยงวันสุดสัปดาห์ด้วย โดยจัดเป็น 3-course Weekends Lunch เพื่อเอาใจคุณลูกค้าด้วยราคาสุดพิเศษ 3 คอร์ส เพียง 590B++ เท่านั้น หลายๆ เมนูก็ดึงมาจากจานเด่นๆ ที่เป็นซิกเนเจอร์ในเมนูอาหารค่ำอยู่แล้ว สำหรับเมนูเด็ดบางเมนูที่ใช้วัตถุดิบราคาสูงเช่นเนื้อวากิวหรือฟัวกราส์นั้นก็มีมาให้ผู้มาลองเซ็ทอาหารกลางวันได้ชิมกันด้วยโดยจ่ายเพิ่มจากราคา 590B ของเซ็ทอีกเล็กน้อย ทั้งอร่อยทั้งคุ้มค่าอย่างนี้เราจึงต้องรีบมารีวิวให้ฟังเพื่อคุณๆจะได้หาเวลาไปลิ้มลองกัน
ร้าน Whale’s Belly นั้นอยู่ที่สุขุมวิท 39 การตกแต่งอันสวยงามภายในร้านได้แรงบันดาลใจมาจากนิทาน The Adventures of Pinocchio ในฉากที่ Pinocchio เข้าไปอยู่ในท้องของวาฬ ภายในร้านจึงมีพื้นที่กว้างขวางราวกับอยู่ในท้องของวาฬตัวใหญ่ ส่วนเพดานของร้านตกแต่งด้วยไม้ระแนงลักษณะโค้งเว้าเหมือนซี่โครงของวาฬ โทนสีที่ใช้เป็นสีน้ำเงิน-ขาว ให้ความรู้สึกราวกับว่าเรากำลังอยู่ในท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ประดับด้วยไฟเล็กๆ สวยงาม
นอกจากนี้ยังมีของตกแต่งอื่นๆ ที่สื่อความหมายถึงท้องทะเล เช่น หีบสมบัติ และกล้องดูดาว
นอกจากบรรยากาศของร้านที่สอดคล้องกับชื่อแล้ว ท้องของวาฬยังแทนความหมายของแหล่งอาหารอันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยวัตถุดิบสดใหม่ คุณภาพสูง หลากชนิด เช่นเดียวกับที่ทางร้านจัดเตรียมไว้ปรุงอาหารชั้นเลิศให้กับลูกค้า
ก่อนอาหารจะเสิร์ฟก็จะมี Charcoal bread ขนมปังถ่านสีดำ กรอบนอก นุ่มใน เคียงมากับ Truffle butter หอมๆ และ Chicken liver pate ตับไก่บดเนื้อนุ่มเนียน มาให้ทานรองท้องกันก่อนด้วย
คอร์สแรกของวันนี้เราเริ่มกันที่ Truffle soup ซุปครีมเห็ดทรัฟเฟิลหอมกรุ่น ด้านบนเป็น white truffle foam ชอบที่มีอัลมอนด์ฝานบางมาในซุปด้วยและทำรสชาติออกมาได้นุ่มนวลกลมกล่อมไม่เค็มจนเกินไป
ถัดมาเป็น Yuzu tuna cold capellini เมนูนี้เป็นเมนูเด็ดที่คุณเชฟนำไปใช้ต่อสู้ในฐานะผู้ท้าชิงในรายการ Iron chef Thailand จนได้ชัยชนะเหนือเชฟกะทะเหล็กมาเมื่อปี 2014 ค่ะ
จานนี้ชิมแล้วก็เข้าใจเลยว่าทำไมถึงเป็นหนึ่งในเคล็ดลับพิชิตใจคณะกรรมการ เพราะเนื้อปู (Blue crab meat) ก็ให้มาเยอะแบบไม่หวง ตัวเส้นพาสต้าเล็กบางทำสุกมากำลังหนืดพอดีๆ แบบ al dente เพิ่มกลิ่นหอมด้วย white truffle พาสต้าจานนี้ออกรสเผ็ดเด่นแล้วจึงมีรสเปรี้ยวนิดๆ ของ yuzu vinaigrette ที่ให้กลิ่นหอมเฉพาะตัว โรยหน้าด้วย caviar อีกที
จานนี้เป็นจานซิกเนอเจอร์ที่มื้อเย็นราคาอยู่ที่ 650 บาท แต่เมื่อมาอยู่ในเซ็ทไม่ได้คิดเพิ่มแต่อย่างใด เรียกว่าเป็นรายการคืนกำไรให้ลูกค้าจริงๆ
ต่อด้วยอีกจานที่คนรักฟัวกราส์อย่างเราไม่พลาดแน่นอน คือ “Rougie” Foie gras de carnard ตับห่านยี่ห้อดังนำเข้าจากฝรั่งเศสที่ sear มาพอดีเป๊ะ กรอบนอกนุ่มใน ราดด้วยซอสทำจาก port wine รสชาติเข้ากันสุดๆกับตัวฟัวกราส์ แถมยังมีซอสบีทรูทและแอปเปิ้ลหวานๆ แต่งแต้มจานนี้ให้มีสีสันสดสวย
จานนี้ออกหวานนำโดยเฉพาะตัว apple gelee ที่หวานจนเริ่มจะรู้สึกไม่แน่ใจว่าจานนี้เป็นของหวานหรือเปล่า 🙂
เมนูนี้ตอนกลางคืนสนนราคาอยู่ที่ 890 บาท เมื่อมาอยู่ในเซ็ทกลางวันนั้นต้องเพิ่มจากชุดปกติอีก 250 บาท ซึ่งก็ยังถือว่าคุ้ม
นอกจากที่เราสั่ง ทางร้านก็ยังมีเมนู Whale’s Belly Caesar Salad ที่ใช้ผักไฮโดรโพนิกส์ของโครงการหลวง โรยด้วย crouton กับ parmesan chips กรอบๆ
และ ซุปมะเขือเทศเย็นแบบสเปน Crab cannelloni & Gazpacho andaluz ซุปมะเขือเทศรสสดชื่นมากับเนื้อปูที่ห่อด้วยเยลลี่แผ่นบางเฉียบสีสวยงามให้เลือกสรรอีกด้วย
จบจากจานแรกทางร้านมี palate cleanser ให้คือ Crysantimum jelly and peach granita with navel orange foam เกล็ดน้ำแข็งเย็นๆ แสนสดชื่นถามรสเปรี้ยวอ่อนๆของพีชและส้มกับความหวานหอมของเยลลี่เก๊กฮวยนั้นแสนจะเข้ากัน เป็นจานล้างปากที่ทำให้สดชื่นพร้อมทานอาหารจานหลักขึ้นมาทันที
และแล้วก็ถึงเวลาของอาหารจานหลัก
วันนี้เรามี King Salmon ปลาแซลมอนชิ้นโตเสิร์ฟมาบนซอส pomodoro รสชาติซอสมะเขือเทศที่สดชื่นเข้ากันได้ดีกับปลาแซลมอนที่ sous vide มาจนนุ่มชุ่มฉ่ำทั่วกันทั้งชิ้นก่อนที่จะนำไปจี่จนหนังกรอบ
บอกเลยว่าร้านนี้เป็นหนึ่งในร้านที่ execute จานปลาได้ดีที่สุดเท่าที่เคยเจอมาในกรุงเทพ ไม่ว่าจะทำปลาอะไรก็ทำได้หนังกรอบส่วนเนื้อปลานุ่มฉ่ำสั่งกี่ครั้งก็ทำออกมาแม่นยำเสมอ
จานนี้ยังมีทีเด็ดอยู่ที่เห็ดหายาก Wild mushroom duxelle ที่เพิ่มรสสัมผัสและกลิ่นหอมให้กับจานนี้อย่างลงตัว
ถัดมาเป็น 62c Sous-vide duck breast ที่ตกแต่งมาสวยงามด้วยไช้เท้าก้อนเล็กพอดีคำ เยลลี่พีชรสอมเปรี้ยวที่หยดมาอย่างกลม และ carrot puree หอมข้นที่ทำให้สีสันของจานนี้สดสวยสะดุดตา
ตัวเนื้ออกเป็ดนั้นทำมาได้นิ่มและฉ่ำสมกับที่ผ่านการ Sous-vide มาอย่างพอเหมาะ ทานกับซอส port wine ที่ช่วยชูรสเป็ดได้เป็นอย่างดี
และที่เห็นแล้วต้องรีบสั่งมาลองก็เป็นเมนู Free range chicken rollatini เมนูนี้เป็นหนึ่งในเมนูคลาสสิคของฝรั่งเศสที่นำเนื้อมาม้วนจนเป็นก้อนกลมที่เรียกว่า roulade ที่หาอร่อยๆ ทานไม่ได้ง่ายนัก
ของที่นี่นำส่วนขาของไก่ไป Slow cook เสียจนเนื้อนิ่ม วางมาบน spinach risotto ที่ทำออกมาได้ครีมๆเนียนๆถูกใจ ข้างเคียงมี asparagus ทั้งแบบแท่งและหั่นแว่นเพิ่มรสสัมผัสให้จานนี้ ราดด้วย wild morel cream sauce หอมอร่อยซึ่งอันนี้มีบริกรมาเทซอสให้ถึงข้างโต๊ะกันเลยทีเดียว
และยังมี Bacon-wrapped king tiger prawn
และ Slow-braised Wagyu beef cheek (เพิ่ม 190 บาท) ที่เนื้อตุ๋นมาจนนุ่ม ซอสรสชาติเข้มข้น หวานนำ ซึมเข้าเนื้อจนชุ่มฉ่ำ
จบเมนูอาหารจานหลักกันไปอย่างน่าประทับใจ
ปิดท้ายด้วย สามเมนูขนมหวานสุดอร่อย New Zealand natural premium ice cream
ที่มีทั้งรสVery berry sorbet ซอร์เบทรสเบอร์รี่หวานอมเปรี้ยวที่มาพร้อมกับ strawberry caviar หวานเจี๊ยบ ที่คุณเชฟใช้กลวิธีทางวิทยาศาสตร์ทำเม็ดกลมๆ เล็กๆ ที่กัดแล้วก็จะได้รสชาติของสตรอเบอร์รี่ที่ระเบิดออก เป็นลูกเล่นที่เพิ่มความน่าตื่นตาให้กับจานขนมหวานได้เป็นอย่างดี
และรส Mango sorbet ซอร์เบทรสมะม่วงหวานอมเปรี้ยวกำลังดี เสิร์ฟพร้อมคาเวียร์สตรอเบอรี่รสหวาน ทานอย่างละคำสลับไปมาเข้ากันดี๊ดี
ต่อด้วย Crepe Suzette เนื้อนุ่มราดซอสส้มที่ผสมลิคเคอร์รสส้ม Grand Manier มาอย่างเต็มที่ ตัวซอสเปรี้ยวจัดและหวานจัด ที่ชอบเป็นพิเศษคือตัวเนื้อส้มชิ้นๆ และเปลือกส้มฝานบางด้านบน ที่ออกหอมๆเปรี้ยวๆแบบพอดีๆ จานนี้ต้องทานกับไอศกรีมวนิลาช่วยตัดความหวานและเพิ่มความเย็นสดชื่น โดยเมนูนี้มีต้องเพิ่มอีก 180 บาทด้วยค่ะ
จบที่ Homemade dark chocolate brownie (เพิ่ม 180 บาท) ที่คนรักช็อกโกแลตจะต้องฟินมาก เพราะช็อกโกแลตนั้นดาร์กและเข้มข้นสุดๆ
สำหรับคนที่ปกติไม่ทานช็อกโกแลตมากนักอย่างเรานั้นถ้าไม่มีไอศกรีมวนิลาข้างๆ มาช่วยคงทานหมดชิ้นลำบากพอสมควร บราวนี่นี้เสิร์ฟมาพร้อมกับ Lychee caviar ด้วย ตัวเม็ดลิ้นจี่ทานแยกกันรสชาติหวานหอม ส่วนตัวคิดว่าลิ้นจี่กับช็อกโกแลตไม่ค่อยเข้ากันเท่าไร แต่ก็ได้ยินว่าลูกค้าหลายๆท่านชื่นชอบกับการจับคู่นี้อยู่เหมือนกัน
สรุปว่าอิ่มอร่อยไปกับอาหารฝรั่งเศสที่คุณภาพและฝีมือสูงทัดเทียมกับเวลามาทานมื้อเย็นด้วยราคาที่แสนคุ้มค่า อย่างที่บอกว่าส่วนตัวแล้วร้านนี้เป็นหนึ่งในร้านอาหารตะวันตกอันดับต้นๆ ในดวงใจ จึงแนะนำคุณๆ ได้อย่างมั่นใจว่าให้มาลองแล้วคุณจะได้ประสบการณ์ที่สุดแสนจะประทับใจกลับไปอย่างแน่นอนเชียวค่ะ
จองได้ที่นี่ คลิ้กเลย!
***
อย่าลืมติดตามงานเขียนอื่นๆ ของเราได้ที่ www.foodiesjournie.com
และแวะไปพูดคุยทักทายกันได้ที่หน้าเพจ www.facebook.com/foodiesjournie ค่ะ