เมื่อนึกถึงร้านอาหารแบบไคเซกิที่เสิร์ฟอาหารทีละจานแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นแล้ว ร้านอุเมะโนะฮานะก็คงจะเป็นชื่อแรกๆ ที่ผุดขึ้นมาในใจ ด้วยความเป็นร้านอาหารระดับพรีเมียมที่พิถีพิถันทั้งในการคัดสรรวัตถุดิบและการบริการจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่จะได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในหมู่ผู้ชื่่นชอบอาหารญี่ปุ่น
ร้าน Umenohana ตั้งอยู่ที่ชั้น 2 ของ Nihonmura Mall ในซอยทองหล่อ 13 การตกแต่งร้านนั้นถอดแบบมาจากต้นฉบับของร้านในญี่ปุ่น จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าตั้งแต่ก้าวแรกที่เราได้ย่างเหยียบเข้าไปเราก็ได้สัมผัสกับกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นนับแต่การตกแต่งภายในไปจนถึงต้นบ๊วยอันสวยงามอันเป็นที่มาของชื่อ Umenohana ซึ่งแปลว่าดอกบ๊วย
ห้องรับรองของที่นี่มีหลายขนาดนั่งสบายและให้ความเป็นส่วนตัว จะพาแขกมาเจรจาธุรกิจก็ได้หรือจะพาครอบครัวมาทานพร้อมหน้าพร้อมตาก็ดี อย่างห้อง Kiyomisu ที่เรานั่งในวันนี้ก็จุได้ถึงแปดท่าน ทางร้านมีการจัดชุดเมนูใหม่ๆ ตามฤดูกาลผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาให้ลองอยู่เสมอ
สำหรับช่วงนี้ที่ประเทศญี่ปุ่นย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิทางร้านอุเมะโนะฮานะก็ได้จัดชุดอาหาร Special Spring Keiseki Course: Haru Urara (2950B++) ที่มีทั้งหมดถึง 11 เมนูด้วยกัน
เริ่มจาก Yomogi Mineoka Tofu หรือเต้าหู้มิเนโอกะผสมสมุนไพรโยโมกิ ที่โรยหน้ามาด้วยอิคุระหรือไข่ปลาแซลมอนและดอกซากุระซึ่งนำไปหมักเกลือก่อนจึงมีรสเค็มนิดๆที่มาพร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกซากุระทานกับวาริโชยุและวาซาบิสุดแสนจะเข้ากัน ส่วนตัวชอบเต้าหู้ผสมสมุนไพรสีเขียวนี้เป็นพิเศษทั้งๆที่ปกติเป็นคนไม่ค่อยถูกกับผักสมุนไพรนัก เพราะนอกจากจะทำมาไม่มีกลิ่นเหม็นเขียวเลยสักนิดแล้วตัวใบโยโมกินั้นยังมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวที่อบอวลในปากทำให้ประทับใจกันมากตั้งแต่จานแรก
ถัดมาเป็นScallop and seasonal vegetable with Ponzu Gelee หอยเชลล์ตัวโตเสิร์ฟมาบนเปลือกหอยพร้อมผักตามฤดูกาลอย่างถั่วโซระมาเมะและผักนาโนะฮานะ ด้านบนเป็นเจลลี่รสอมเปรี้ยวทำจากซอสพอนซึผสมกับเนยกระเทียมหอมมันและผักชีฝรั่งที่รสชาติออกมา complex แถมกลมกลืนกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ต่อด้วย Sakura Fukufuku Tofu with Sakura Epi An ที่มี presentation ให้ได้ตื่นตา โดยตัวน้ำเต้าหู้นั้นจะนำมาตั้งไฟต้มบนโต๊ะ เมื่อต้มไปประมาณสิบห้านาทีก็จะแข็งตัวเป็นเต้าหู้นิ่มๆหยุ่นๆที่ทานแล้วนุ่มละลายในปาก สีชมพูธรรมชาติของเต้าหู้มาจากเบนิโคจิหรือยีสต์สีแดงที่นำมาใช้ในการหมัก
เต้าหู้จานนี้ทานกับซอสผักตามฤดูกาลและกุ้งซากุระเอบิ รสชาติกลมกล่อมกำลังดี
จากนั้นจึงเป็นคิวของ Sashimi (Toro & Madai) โดยเชฟจัดให้ทานปลาดิบที่มีมันมากอย่างโทโร่คู่กับปลามะไดที่ไม่มันเพื่อให้ไม่เลี่ยน
ซึ่งคุณภาพของปลานั้นสดเทียบเท่ากับร้านซูชิชั้นต้นๆ เลยทีเดียวเพราะที่นี่นำเข้าปลาจากญี่ปุ่นถึงสองครั้งต่อสัปดาห์และมีการเสาะหาวัตถุดิบจากแหล่งปลาดิบชั้นดี
ต่อมาด้วย Ikura Mushi Sushi หรือข้าวซูชินึ่งโรยหน้าอิคุระที่มีไข่เส้นๆและส้มยุซุฝนด้านบนเพิ่มรสเปรี้ยวเล็กๆ แสนสดชื่นตัดกับไข่ปลาแซลม่อนหอมมัน
และแล้วก็ถึงเวลาของพระเอกคือปูทาระบะเนื้อแน่น Taraba Kani Seiro Mushi or Taraba Kani Sumibiyaki ที่สามารถเลือกแบบนึ่งหรือแบบย่างถ่านก็ได้
ส่วนตัวอยากแนะนำให้เลือกนึ่งเพราะเนื้อจะออกมานุ่มและไม่แห้งจนเกินไป ปูที่นี่สดหวานมาก ทานกับซอสเปรี่ยวสูตรเฉพาะของร้าน และสามารถเติมยุซุโคโช (Yuzu Kocho) ที่ทำจากเปลือกของส้มยูซุรสอมเปรี้ยว ออกเผ็ดนิดๆ ขมหน่อยๆ ที่ปลายลิ้นที่ยิ่งเสริมให้รสหวานของเนื้อปูเด่นขึ้นไปอีก
พระรองที่อร่อยไม่น้อยหน้าพระเอกเลยคือเมนู Kuroge Wagyu Yogan Yaki
เมนูนี้นำเนื้อวัววากิวอย่างดีจากบนเกาะคิวชูมาย่างกับเนยกระเทียมบนหินลาวาร้อนฉ่า เนื้อแทรกลายมันอย่างดีของที่นี่การันตีความนุ่ม ทานเคียงกับผักและมันที่นำไปจี่ไฟเช่นกัน
จานนี้อร่อยมากจนอยากทานอีกหลายๆ ชิ้น
จานถัดมาคือ Yuba Age เนื้อปลาทอดที่ข้างในนุ่มเด้งดึ๋งส่วนข้างนอกห่อด้วยฟองเต้าหู้บางกรอบ เสิร์ฟมาพร้อมเครื่องมือเก๋ไก๋ให้ใช้ช่วยทุ่นแรงในการบีบมะนาว
ใกล้จบคอร์สก็ยังมี Nigiri Sushi & Tekka Maki ชุดนี้มีทั้งกุ้งหวาน ปลาทูน่า และข้าวห่อสาหร่าย
ผ่านชุดนี้ไปได้ก็จะเจอกับ Yuba Miso Soup จานซุปมิโซะฟองเต้าหู้ให้ซดกันคล่องๆ คอ
ปิดท้ายด้วย Tofu Pudding Amaou Strawberry Sauce เต้าหู้พุดดิ้งนั้นราดด้วยซอสสตรอเบอร์รี่อามะโอพันธุ์ดังจากเกาะคิวชู อร่อยจนไม่รู้จะหาอะไรติ เรียกว่าจบคอร์สนี้ไปด้วยความปลาบปลื้มกันที่สุด
สำหรับเครื่องดื่มนั้นจะมีชายาเมจะร้อนกลิ่นหอมซึ่งคัดสรรอย่างดีนำเข้าจากฟุคุโอกะ ที่นี่ละเอียดจนถึงว่าน้ำร้อนที่ชงชาต้องอยู่ที่ 85 องศามิฉะนั้นความหอมของชาจะไม่เต็มที่ และบริกรจะดูเปลี่ยนชาให้ใหม่เรื่อยๆ หากใบชาบานเกินไปทางร้านก็จะชงให้ใหม่ทันที
แต่หากใครอยากจะทานเป็นเครื่องดื่มเย็นก็มี Kuromitsu Tonyu กับ Yuzu Tonyu (110B++) เครื่องดื่มนมถั่วเหลืองสูตรพิเศษของที่นี่ จะเลือกทานกับน้ำตาผงสีดำก็ได้ หรือจะผสมกับโยเกิร์ตส้มยุซุออกเปรี้ยวๆ แหลมๆ ตัดกับความนวลของนมถั่วเหลืองก็ยังอร่อย
หรือใครกลัวชีวิตขาดความซ่า จะสั่งเป็น Yuzu Lemon Soda (95B++) โซดาส้มยุซุ ก็จะได้ทั้งซ่าทั้งเปรี้ยวมาคู่กัน
โดยรวมแล้วการมาทานอาหารที่อุเมะโนะฮานะนั้นไม่ใช่เป็นเพียงการมาลิ้มรสอาหารอร่อยแต่เป็นการมาเก็บเกี่ยวประสบการณ์การทานอาหารสุดประทับใจ บริการที่นี่ดีไร้ที่ติเรียกว่าเอาใจใส่กันทุกฝีก้าว นอกจากนี้ยังสามารถบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาและกระบวนการทำอาหารแต่ละชนิดได้อย่างละเอียดลึกซึ้งเรียกว่าฟังกันเพลินสนุกและได้ความรู้ไปในตัว การยกมาทีละคอร์สตามแบบไคเซกิทำให้อาหารออกมาที่อุณหภูมิที่จะอร่อยที่สุดและทำให้เราได้ค่อยๆ ละเลียดอาหารทีละจานอย่างสบายอารมณ์ ตัวอาหารรสชาติอ่อนทานง่ายแต่ก็มีมิติในตัวเอง การใช้วัตถุดิบตามฤดูกาลก็ทำให้เราได้ของที่สดและได้ชิมเมนูใหม่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปตลอดปี สำหรับชุดฤดูใบไม้ผลินี้ทางร้านจะเสิร์ฟตั้งแต่ตอนนี้ไปจนถึงเดือนพฤษภาคม ใครที่อยากมาทานอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมคุณภาพพรีเมียมไม่ควรพลาดค่ะ
***
อย่าลืมติดตามงานเขียนอื่นๆ ของเราได้ที่ www.foodiesjournie.com
และแวะไปพูดคุยทักทายกันได้ที่หน้าเพจ www.facebook.com/foodiesjournie ค่ะ