ย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วงกันแล้วสำหรับประเทศที่มีสี่ฤดูกาล ร้านอาหารสไตล์เคเซกิคุณภาพพรีเมียมอย่าง Umenohana ก็ไม่พลาดที่จะนำสุดยอดวัตถุดิบประจำฤดูใบไม้ร่วงอย่างเห็ดมัตสึทาเกะกลิ่นหอมมารังสรรค์หลากหลายเมนูน่ากินให้ทุกท่านได้ลิ้มลองกัน
วันนี้เราเลยจะพาทุกท่านไปแวะชิมเมนูใหม่ประจำฤดูใบไม้ร่วงที่มีเห็ดมัตสึทาเกะแสนอร่อยและเมนูเต้าหู้สุดพิเศษที่ไม่เคยทำให้ผิดหวังกันค่ะ
ร้าน Umenohana ตั้งอยู่ที่ชั้น 2 ของ Nihonmura Mall ในซอยทองหล่อ 13 การตกแต่งร้านนั้นถอดแบบมาจากต้นฉบับของร้านในญี่ปุ่น จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าตั้งแต่ก้าวแรกที่เราได้ย่างเหยียบเข้าไปเราก็ได้สัมผัสกับกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นนับแต่การตกแต่งภายในไปจนถึงต้นบ๊วยอันสวยงามอันเป็นที่มาของชื่อ Umenohana ซึ่งแปลว่าดอกบ๊วย
ห้องรับรองของที่นี่มีทั้งที่นั่งรวมกันและที่แยกเป็นห้องส่วนตัว ห้องมีหลายขนาด อย่างห้องใหญ่ก็จะจุได้ถึง 8-10 ท่านเลยทีเดียว
ความพิเศษของร้าน Umenohana ส่วนหนึ่งอยู่ที่การนำวัฒนธรรมการรับประทานอาหารแบบไคเซกิเข้ามาแนะนำในไทย โดยอาหารนั้นจะถูกนำมาเสิร์ฟทีละคอร์สๆ ให้คุณได้ลิ้มรสในช่วงเวลาที่รสชาติอาหารอยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุด ปลาดิบยังสดใหม่ อาหารจานร้อนอุณหภูมิยังพอเหมาะ แต่ละเมนูนั้นยังมีรสสัมผัสกำลังพอดีตามที่เชฟต้องการ
แต่อีกส่วนก็อยู่ที่การบริการอันเป็นมิตรและดูแลเอาใจใส่รายละเอียดปลีกย่อยไปเสียทุกเรื่อง อย่างทางร้านสังเกตว่า ลูกค้าหลายท่านเป็นคุณแม่บ้านที่พาลูกๆ ออกมาทานอาหารกลางวัน ทางร้านจึงมีการจัดเปลเด็ก จัดของเล่นสำหรับเด็กหลากหลายวัยไว้บริการ นอกจากนี้ยังมีการเข้ามาช่วยอุ้มเด็กเล็กสลับสับเปลี่ยนให้คุณแม่ได้มีเวลาวางมือมาทานอาหารบ้าง ทำให้ร้านนี้เป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่แม่บ้านญี่ปุ่น
สำหรับฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ที่ร้านจัดชุดไคเซกิ “Izayoi” (4,200B++) ที่ประกอบไปด้วยสิบเมนูย่อยด้วยกันมาให้ทุกท่านได้ชิม
ซึ่งชุดนี้ก็จะมีเมนูเรียกน้ำย่อยอย่าง Grilled Goma (Sesame) Tufu with Fresh Uni
เต้าหู้งาเนื้อนุ่มสูตรพิเศษไม่เหมือนใคร ทำจากนมและครีมสด มีรสชาติของงาเข้มข้น โปะด้วยไข่หอยเม่นด้านบนเพิ่มความหอมมัน
หรือ Taraba Jelly เยลลี่ที่มีส่วนผสมของซอสปูและซอสพอนซึ ด้านในเป็นเนื้อปู ผักญี่ปุ่นและฟองเต้าหู้รสชาติอ่อนๆ กำลังดี
และ มี Matsutake & Sea Bream Dobinmushi
ซุปกาที่มีเนื้อปลาไทชิ้นโตและหอมกรุ่นไปด้วยกลิ่นเห็ดมัตสึทาเกะ รวมอยู่ด้วย
แต่แน่นอนว่าไฮไลท์ของชุดจะอยู่ที่ Taraba Kani & Matsutake Sumibiyaki
เห็ดมัตสึทาเกะชิ้นโตย่างจนกลิ่นหอมฟุ้งที่ทานควบคู่ไปกับปูทาราบะย่างถ่านเนื้อแน่นรสหวาน
หากใครที่ทานน้อยแล้วรู้สึกว่าชุดไคเซกิทั้งเซตจะหนักเกินไปก็สามารถสั่ง Taraba Kani & Matsutake Sumibiyaki เพียงอย่างเดียวมาทานได้ในราคา 3,250B++
ของว่างที่กล่าวมาข้างต้นอย่าง Matsutake & Sea Bream Dobinmushi (420B) และ Grilled Goma (Sesame) Tufu with Fresh Uni (250B) ก็สามารถสั่งเป็นจานเดี่ยวมาทานตามชอบใจเช่นเดียวกัน
นอกจากเมนูปูแล้ว อีกหนึ่งเมนูขายดีของทางร้านก็จะเป็น Umenohana’s 3-Drawer Treasure Box (3450B++)
เมนูที่รวมวัตถุดิบชั้นเลิศจัดมาในลิ้นชักสามชั้นสวยงามน่ารัก
ในลิ้นชักแต่ละชั้นก็จะมี Taraba (Sashimi & Cooked) & Ikura
เนื้อปูทาราบะ ที่มาทั้งแบบดิบ ทานเป็นซาชิมิ และแบบสุก รสชาติและรสสัมผัสแตกต่างกันทำให้มีความน่าสนใจ
ตัวปูที่มาอย่างดิบลื่น มัน และหวาน ทานแล้วจะคล้ายๆ กุ้งโบตัน
ส่วนปูที่สุกก็จะเคี้ยวง่าย ได้รสหวานอร่อยไปอีกแบบ ทานกับไข่ปลาแซลมอนเค็มๆ มันๆ แล้วเข้ากันกำลังดี
ถัดมาเป็นเป็นอัญมณีแห่งท้องทะเลอย่างไข่หอยเม่น คือชั้น Uni & Ikura ที่ให้ไข่หอยเม่นและไข่ปลาแซลมอนมาอย่างพูน
ปิดท้ายด้วยของดีที่สุดคือส่วนท้องของปลาทูน่า Otoro & Ikura
ส่วนนี้มีมันเยอะที่สุดทำให้นุ่ม กัดแล้วละลายในปาก
สามลิ้นชักนี้ทานคนเดียวไม่ไหวแน่นอน แนะนำให้สั่งเวลามากันสองสามท่านขึ้นไปเพราะถึงข้าวซูชิด้านล่างจะช่วยลดความเค็มของไข่ปลาแซลมอนลงได้หลายส่วน แต่เจอของมันๆ เค็มๆ รวมกันหลายอย่างขนาดนี้ก็ทำให้เลี่ยนได้ง่ายเหมือนกัน
อีกเมนูที่ทำให้เราต้องประหลาดใจคือเมนู Yuba Gratin (180B) ที่ใช้ฟองเต้าหู้สูตรพิเศษของทางร้านมาทำเป็นกราแตงหอมมัน
ตอนแรกก็คิดว่ากราแตงดูฝรั่งจัง จะเข้ากันกับอาหารญี่ปุ่นไหม แต่พอได้ทานก็เคลิบเคลิ้มไปกับรสสัมผัสอันนุ่มละมุน หนึบนิดๆ หนืดหน่อยๆ หอมมันลงตัวสุดๆ ไม่เลี่ยนอย่างที่คิด
จานนี้ถึงกับต้องแย่งกันทานและหมดไปอย่างรวดเร็ว
อีกจานที่มีโอกาสได้ชิมก็เป็น Unagi Kama Meshi (450B) ปลาไหลย่างกลิ่นหอมเสิร์ฟมาบนข้าวร้อนๆ มีไข่เส้นฝอยโรยมาให้ทานเคียง
เนื้อปลาไหลนุ่ม ซอสเค็มและหวานพอดี ไม่หวานเกินไปแบบหลายๆ ที่
และแน่นอนที่ขาดไม่ได้ต้องนำมาให้ชมกันก็คือเมนูเต้าหู้ เพราะที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องเต้าหู้เป็นที่สุด ถือว่าเป็น specialty ที่ร้านนี้ทำได้ดีจนมีชื่อเสียงไปทั่วญี่ปุ่น ยากที่จะหาใครมาเทียบเคียงได้
สำหรับเต้าหู้ที่นำมาเสิร์ฟในร้านสาขาประเทศไทยนั้น ทำโดยผู้เชี่ยวชาญจากญี่ปุ่นที่รักและหลงใหลในการทำเต้าหู้มาตั้งแต่เด็ก สอบถามมาทราบว่าทำเต้าหู้มาตลอดชีวิตตั้งแต่อายุหกขวบเลยทีเดียว
อย่างเมนู Hiyashi Tofu (280B) ที่เสิร์ฟพร้อมกับวาริโชยุ ปลาแห้ง (bonito flakes) และ ผักเคียงอย่างขิงกับหัวหอมนั้น เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในเมนูที่โชว์ความสามารถของเชฟเต้าหู้ได้เป็นอย่างดี
ด้วยความที่เป็นเต้าหู้ก้อนใหญ่ จะสามารถรับรสความเทพของเต้าหู้ได้เน้นๆ
พอตักเข้าปากก็ซาบซึ้งสุดๆกับความประณีตที่สัมผัสได้ในตัวรสชาติอันลุ่มลึกของเนื้อเต้าหู้ ที่ทานเผินๆ อาจรู้สึกเหมือนจืดๆ ไม่มีอะไร แต่หากลองหลับตาและใช้ประสาทสัมผัสค่อยๆ แยกแยะ จะรู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมอ่อนๆ เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนที่ใดที่เคยทานมาก่อน ยิ่งพอได้ทานกับซอสและเครื่องเคียงก็ยิ่งได้รสชาติขึ้นไปอีก
เนื่องจากเต้าหู้ของ Umenohana เป็นที่นิยมมาก ทางบริษัทเองก็มีผลิตมาวางขายที่ฟู้ดแลนด์อยู่เหมือนกัน แต่จะไม่เหมือนของที่ร้านเสียทีเดียวแม้ใช้กระบวนการเดียวกันหมด เพราะเต้าหู้ที่วางขายใช้ถั่วเหลืองไทย แต่เต้าหู้ที่เสิร์ฟที่ร้านจะใช้ถั่วเหลืองอิมพอร์ตจากประเทศญี่ปุ่น การันตีได้ว่าเต้าหู้สุดอร่อยแบบที่ร้านนั้นหาที่อื่นไม่ได้อีกแน่นอน
อิ่มหนำกับอาหารจานเด็ดๆ แล้วก็ถึงเวลาของหวาน ของหวานกับเต้าหู้ชั้นเลิศนั้นเป็นของคู่กัน เราเลยชิมทั้ง Tofu Pudding (125B) เนื้อนุ่มเนียน ที่ทานกับ Kuromitsu หวานหอม
ทั้ง Mineoka Fruits (150B) เต้าหู้เนื้อเด้งกว่าพุดดิ้ง ที่เข้ากั๊นเข้ากันกับผลไม้สดอมเปรี้ยวอมหวาน
และปิดท้ายด้วย Matcha Monaka with Red Beans (150B)
แป้งบางกรอบ ประกบไอศกรีมชาเขียว ถั่วแดงบด และ วาราบิโมจิเนื้อนุ่มเนียน จบมื้อลงอย่างสวยงามประทับใจ
อ้อ ถ้าใครสนใจสั่งเครื่องดื่ม ลืมบอกไปว่า Tonyu ของที่นี่เข้มข้นหอมอร่อยทุกรส
ทั้ง Matcha Tonyu (110B)
Kuromitsu Tonyu (110B)
และ Yuzu Tonyu (110B)
ซึ่งส่วนตัวชอบรสอมเปรี้ยวกลิ่นหอมหวานของ Yuzu เป็น พิเศษ
โดยรวมแล้วร้านนี้มาทานกี่ครั้งก็ประทับใจกับคุณภาพอาหารและบริการที่คงเส้นคงวา
ราคาที่นี่อาจจะดูสูงสักหน่อยแต่เทียบกับสิ่งที่ได้ถือว่าคุ้มค่า
อย่างซุปกาที่นี่ก็รสอ่อนๆ แต่เต็มไปด้วยความซับซ้อน เป็นหนึ่งในซุปกาที่ชอบมากๆ เพราะกลมกล่อม พอดีลงตัวไปหมด
ปูก็เนื้อแน่นหวาน เห็ดซึ่งเป็นวัตถุดิบพิเศษก็หอมสมกับความคาดหวัง และที่สำคัญคือเต้าหู้ที่หาทานอร่อยแบบนี้ที่ไหนในไทยไม่มีอีกแล้ว
และที่คุณอาจจะไม่ทราบคือทางร้านไม่ได้เสิร์ฟแต่ชุดไคเซกิชุดใหญ่ราคาสูงเพียงอย่างเดียว ยังมีเมนูเล็กๆ จานเดียวราคาย่อมเยาให้เลือกอีกมากมาย โดยเฉพาะ ใครที่เข้ามาทานเป็นข้าวหน้า หรือ เป็น lunch set นั้น จะต้องตกใจกับราคาที่อยู่ราวๆ 500 – 800 บาท เมื่อเทียบกับคุณภาพแล้วคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม
ร้านนี้จึงเป็นอีกร้านที่แนะนำให้ได้อย่างสบายใจ เพราะมั่นใจได้ว่าถ้าคุณๆ ตามไปทาน จะได้พบกับอาหารรสชาติเยี่ยมและประสบการณ์ที่น่าประทับใจแน่นอนค่ะ
***
อย่าลืมติดตามงานเขียนอื่นๆ ของเราได้ที่ www.foodiesjournie.com
และแวะไปพูดคุยทักทายกันได้ที่หน้าเพจ www.facebook.com/foodiesjournie ค่ะ