ร้าน The Girl and The Pig ตั้งอยู่ใน Central Embassy ที่หลายๆ คนฟังแล้วอาจจะมีเกร็งๆ กันบ้างเพราะคอนเซปท์ของศูนย์นี้ทำให้เราติดภาพกันว่าต้องหรูและแพง แต่ The Girl and The Pig นั้น ทำให้เรารู้สึกสบายและผ่อนคลายตั้งแต่เหยียบย่างเข้าไปด้วยบรรยากาศแบบ farmhouse style ที่เปี่ยมไปด้วยจินตนาการและไอเดียเก๋ไก๋
ร้านนี้ตกแต่งโดยมีตัวละครสองตัวอยู่ในใจคือเด็กหญิงตัวน้อยผู้ชื่นชอบในการทำอาหารและเพื่อนหมูที่มีความสุขในการได้ชิมอาหารอร่อยๆ ฝีมือของเด็กสาว ในร้านจึงมีมุมชิงช้าเปรียบเสมือนมุมนั่งเล่นของสาวน้อยและน้องหมู รวมไปถึงการทำผนังให้เหมือนบ้านในฟาร์มที่สร้างขึ้นอย่างง่ายๆ จากอิฐและไม้
ความน่ารักเรียบง่ายของที่นี่ทำให้เราต้องอมยิ้ม ส่วนสาวๆ หลายๆ คนแน่นอนว่าเมื่อได้เห็นความน่ารักแล้วก็อดใจไว้ไม่ได้ต้องจะรีบโพสท์ท่าเก็บรูปกับบรรยากาศอบอุ่นที่อบอวลไปด้วยความรู้สึกแห่งความรักและมิตรภาพของตัวละครทั้งสอง
อาหารของร้านนี้เป็นแนว New-American Style Brunch and Bistro cuisine
เนื่องจากเจ้าของร้านและภรรยานั้นศึกษาที่ต่างประเทศและเดินทางบ่อยทั้งในแถบยุโรปและอเมริกาจึงได้มีโอกาสเก็บเกี่ยวประสบการณ์และรายการอาหารที่ชอบไว้มากมาย จากเพียงความชอบกลายมาเป็นงานอดิเรกที่รักและเริ่มจริงจัง จนคุณแดนเจ้าของร้านนั้นได้ศึกษาเรื่องการชิมไวน์อย่างช่ำชอง
ส่วนทางภรรยานั้นได้ลงเรียน Classic Pastry Arts ที่ the French Culinary Institute ในมหานครนิวยอร์ก ซึ่งแปลว่าหากใครแวะมาทานร้านนี้ขนมอบทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น Biscuit หรือ Cornbread ในรายการอาหารคาว ไปจนถึงรายการขนมปังและขนมหวาน ต่างก็เป็นสูตรที่ดัดแปลงปรับแต่งจนได้รสที่ถูกใจและทำเองที่ร้านทั้งสิ้น ซึ่งสำหรับผู้ที่ชื่นชอบขนมอบทางร้านก็มีขนมอย่าง Scone รสต่างๆ เช่น Buttermilk และ Cranberry หรือแนวทาร์ต อย่าง Apple Tart Tatin และ Chocolate Hazelnut Tart เค้กเช่น Carrot Cup Cake และ Lemon Chiffon Cake หรือจะเป็นขนมปังอย่าง Spicy Sausage Rolls หรือพายอย่าง Bacon and Leek Quiche / Spinach Quiche ให้เลือกซื้อหากลับไปทาน จะกินเป็นอาหารเช้าก็ได้เป็นอาหารว่างยามบ่ายก็ดี
นอกจากนี้ด้วยความที่คอนเซปท์เป็น Farm to table ทางร้านเองก็พิถีพิถันมากกับการเลือกสรรผลิตภัณฑ์ที่เป็น organic ปลอดสารเคมี การปรุงอาหารก็ไม่ใส่สารกันบูด ไม่มีผงชูรส และที่สำคัญทางร้านยังทำอาหารโดยปลอด trans-fat และสารเจือสีและแต่งกลิ่นสังเคราะห์เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณลูกค้า แม้แต่ไอศกรีมรสต่างๆ ที่ทางร้านทำเองก็ไม่มีการใส่สารคงรูป (Stabilizer) และ ที่ทางร้านภูมิใจมากก็คือไข่ที่ทางร้านซื้อจากฟาร์มที่เชียงรายที่ทั้งสดใหม่ทั้งอร่อยแตกต่างจากไข่จากแหล่งอื่นๆ
สำหรับอาหารจานแรกที่เราสั่งมาเรียกน้ำย่อยก็คือ Nordic Shrimp Bite (240B)
ตัว Cornbread ที่ทำจากข้าวโพดบดละเอียดนั้นเนื้อนวลรสกลมกล่อมอร่อยสุดๆ ทานคู่กับ กุ้ง บีทรูท หอมแดง ไข่กุ้ง และ ซอสมายองเนส แล้วแสนจะเข้ากัน หรือถ้าชอบก็สามารถบีบมะนาวเพิ่มให้ออกรสเปรี้ยวนิดๆ จะทำให้จานนี้สดใสขึ้น
ถัดมาเป็น Foie Gras Torchon(450B)
จานนี้ตกแต่งมาสวยงาม ตับห่านเนื้อนุ่มเนียนละลายในปากทานกับขนมปังกรอบให้รสสัมผัสที่ตัดกันเพิ่มรสเปรี้ยวอมหวานด้วยเยลลี่บ๊วยและเยลลี่ราสพ์เบอร์รี่ที่ทำให้ทานเพลินจนหมดอย่างรวดเร็ว
จานต่อมา Scallop Caponata (450B)
เมนูนี้เป็นหนึ่งใน Signature dish ของทางร้าน หอยเชลล์ตัวอวบอ้วน สุกพอดีกำลังนิ่มลื่น ไม่เหนียว ตกแต่งอย่างสวยงามด้วยมะกอก มะเขือม่วง พาร์มาแฮม และแอสพารากัส หอมอบอวลด้วย truffle sauce อร่อยสมกับที่เป็นจานแนะนำของทางร้าน
Steak, Egg, and Biscuit (380B)
จานนี้มัดใจเราด้วยตัวบิสกิตที่กรอบอร่อยหอมเนยเข้ากันดีกับไข่ดาวและเนื้อส่วน Sirloin นุ่มๆ จาก grass-fed beef ทางร้านยังมีทีเด็ดคือ chimichurri บนเนื้อที่ทำมาจากผักชีฝรั่ง กระเทียม มะนาว และ พริก เพิ่มรสชาติของเนื้อให้เข้มข้นถูกใจ
เมนู GP’s Pork Chop (450B)
หมูชิ้นโตส่วนติดกระดูก (Bone-in pork chop) ย่างมาเกรียมนิดๆ กลิ่นหอมฉุย โปะมาด้วย lemon garlic sauce ให้รสอมเปรี้ยวนิดๆ กำลังดี เสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งอบและสลัดผัก
ตามมาติดๆ ด้วยรายการ Egg Benedict with Crab Cake(420B)
เมนูเด็ดที่อัดแน่นไปด้วยเนื้อปูมาคู่กับไข่สุกพอดีเยิ้มน่าทานและมัฟฟินทำเองของทางร้านที่ผิวนอกกรอบนิดๆ ราดมาด้วยซอส Hollandaise สูตรเฉพาะของทางร้านที่ยืนยันอีกเสียงว่าอร่อยหอมมันไม่ซ้ำใครจริงๆ
จากนั้นเราก็หันมาลองหมวดพาสต้ากันบ้าง
Seafood Arrabiata (360B)
ตัวซอสมะเขือเทศมาเผ็ดเข้มข้นกำลังพอดี มีอาหารทะเลทั้งหอยแมลงภู่ ปลาหมึก และกุ้งที่ให้มาแบบไม่หวง
ส่วน Rome-Style Carbonara Spaghetti(280B) ที่นี่นั้นใส่ไข่ เบคอน และ พาเมซานชีสตามสูตรที่หาได้ในโรม ที่สำคัญคือไม่ได้ใส่ครีม แปลว่าความ creamy หอมมันทั้งหมดที่เราสัมผัสได้นั้นมาจากชีสล้วนๆ จานนี้ถูกใจคนรักชีสสุดๆ
ปิดท้ายด้วยสองจานเด็ดสไตล์ฝรั่งเศสอย่าง NSG Coq Au Vin (480B) เมนูสตูว์ไก่ที่ตุ๋นไก่ในซอสไวน์แดงจนเนื้อนุ่ม รสชาติไวน์แดงและความหวานของผักอย่างหัวหอมและแครอทนั้นซึมซาบเข้าเนื้อไก่อย่างเต็มที่ ได้กินแล้วถึงกับเคลิ้มกันเลยทีเดียว
และรายการสุดท้าย คือ เมนูSalmon Spicy Ratatouille(480B) ที่ตัวแซลมอนสุกพอดีมากๆ คือไม่สุกไปจนเสียรสสัมผัส เนื้อนุ่ม หนังกรอบ ด้านล่างเป็น ผักโขมผัด (sautéed spinach) และ Ratatouille หรือสตูว์ผักแบบดั้งเดิมของฝรั่งเศส ที่ทำออกมารสเผ็ดนิดๆ เสริมรสกับตัวเนื้อปลาแล้วกำลังพอดี
ปิดท้ายมื้ออร่อยด้วยกองทัพของหวาน ถึงแม้จะเริ่มอิ่มแต่พอเราเห็นเมนูอันน่าทานของทางร้านแล้วความอยากก็ทำให้ต้องรีบสั่งมาลิ้มลอง
เริ่มจาก Black Bottom Cup Cake(70B) ที่มีหลากหลายรสทั้ง Original Cheesecake, Thai Tea, Mocha, Earl Grey และ Red Velvet
เราลอง Red Velvet ที่ด้านในเป็น cream cheese หอมมัน และ ลอง Thai Tea ที่รสชาเข้มข้นกำลังพอดีไม่หวานจนเกินไป เคยได้ยินกิตติศัพท์ความอร่อยของเค้กร้านนี้มาบ้างพอได้ชิมแล้วถึงเข้าใจว่าทำไม Black Bottom Cup Cake ถึงขายดิบขายดีจนเหลืออยู่เป็นชิ้นสุดท้ายพอดิบพอดีเกือบอดทานกัน
ถัดมาเป็น Classic French Clafoutis (260B)
เมนูนี้จัดจานมาอย่างสวยงาม สตอเบอร์รี่สดทำให้สีสันจานนี้สดใสขึ้น ตัวเค้กอัลมอนด์นั้นแทรกมาด้วยแครนเบอร์รี่แห้ง ทำให้รสเค้กที่ออกค่อนข้างจืดได้รสหวานอมเปรี้ยวเข้ามาเสริม ทานกับไอศกรีมวนิลาหอมๆ เย็นๆ สลับไปมาแสนเพลิน เครื่องดื่มช็อกโกแลตร้อนที่มาด้วยกันนั้นรสเข้มข้นซึ่งแน่นอนว่าถูกใจคนรักช็อกโกแลตเป็นอย่างมากทีเดียว
ต่อด้วย Summer Snow (280B) ที่เป็นการจับคู่เค้ก Chiffon ใบเตยเนื้อนุ่มฟูบางเบาราวเกล็ดหิมะกับผลไม้เขตร้อนอย่างซอสเสาวรสรสเปรี้ยว มะพร้าวอ่อนขูดฝอย ขนุน เยลลี่รสใบเตยและลูกชิด เสิร์ฟกับไอศกรีมชาไทยเนื้อเนียนแน่น
จานนี้เป็นการผสมผสานวัตถุดิบไทยๆ กับการจัดแต่งจานสไตล์ฝรั่งได้อย่างลงตัว
ท้ายสุดเป็น Peach Melba (320B) พีชชิ้นโตบนมูสพีชเนื้อนวล โปะด้วยไอศกรีมราสพ์เบอร์รี่และราดซอสราสพ์เบอร์รี่ ตกแต่งด้วยเยลลี่พีช ถั่วอัลมอนด์ และ แผ่น Tuille ด้านบน ทั้งอร่อยและสวยงาม ทำให้มื้อนี้จบลงอย่างน่าประทับใจ
โดยรวมแล้ว ร้านนี้เป็นร้านที่ชื่นชอบมาก ทั้งบรรยากาศ และรสชาติ เมื่อเทียบกับราคาที่ไม่แพงอย่างที่คิดก็ยิ่งทำให้ร้านนี้เป็นทางเลือกที่โดดเด่น โดยเฉพาะสำหรับหลายๆ คนที่มองหาร้านอาหารเก๋ไก๋มีสไตล์กับบรรยากาศสบายๆเพื่อพบปะสังสรรค์กับผองเพื่อน
อย่างไรก็ขอแนะนำร้านน่ารักๆ อย่าง The Girl and The Pig ให้เป็นอีกทางเลือกที่อยากให้ได้ไปลองชิมกันค่ะ