ร้านซูชิเด็ดอีกหนึ่งร้านในกรุงเทพที่คุณไม่ควรพลาด คือร้าน Sushi Kanda
ร้านนี้เป็นร้านที่ออกแนว Hidden Gems คือของดีหายากที่หลบซ่อนจากสายตาอยู่พอสมควร
นอกจากสถานที่จะแอบลึกลับโดยตั้งอยู่ชั้นสองของตึก No. 88 ในซอยทองหล่อ (ระหว่างซอยห้ากับซอยเก้า) ทางร้านเองก็ดูเหมือนจะไม่มีการโฆษณาอะไรมากมาย
ไปถึงนี่ป้ายด้านหน้าของตัวตึกก็จะไม่มีชื้อร้านนี้อยู่ค่ะ เมื่อเดินขึ้นมาบนชั้นสองอันเป็นที่ที่ร้านตั้งอยู่ก็จะเจอป้ายไม้เรียบๆป้ายเดียวที่เขียนชื่อร้านเป็นภาษาญี่ปุ่น ป้ายภาษาไทยหรืออังกฤษอะไรก็ไม่มีทั้งนั้น เรียกได้ว่าอาศัยการแนะนำปากต่อปากและใช้ความเป็นญี่ปุ่นต้นตำรับแท้ๆ ของที่นี่ทำให้ลูกค้าต้องดั้นด้นเสาะหากันมาจนเจอ
ร้านนี้เป็นร้านคุณภาพระดับพรีเมี่ยมโดยวัตถุดิบคุณภาพสูงจะถูกส่งตรงมาจากตลาด Tsukiji วันต่อวัน เรื่องความสดใหม่นั้นการันตี นอกจากนี้ก็ยังมักจะมีปลาและหอยแปลกๆ หายากมาให้ลองชิมผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปในแต่ละวัน
ความที่บรรยากาศจะเป็นแบบญี่ปุ่นแท้ๆ สำหรับท่านที่อยากจะมาสัมผัสประสบการณ์การทานซูชิแบบญี่ปุ่นๆ ขอแนะนำให้โทรมาจองเป็นที่ sushi bar เพื่อจะได้ชมการแล่ปลาและการปั้นของเชฟอย่างใกล้ชิด
เกริ่นมาอย่างนี้หลายๆ ท่านก็คงพอเดาได้ว่าราคาของร้านนี้ก็น่าจะแพงประมาณหนึ่ง สำหรับซูชิถ้าสั่งเป็นคำก็จะราคาอยู่ประมาณตั้งแต่คำละร้อยกว่าบาทไปจนถึงหลักพันขึ้นอยู่กับชนิดของปลา
บางครั้งก็จะมีปลาสดตามฤดูกาล หรือ หอยต่างๆ รวมไปถึงปูขน ซึ่งสนนราคาของหอยบางตัวก็จะอยู่ที่หลักพัน ปลาทั้งตัวก็จะอยู่ที่สองถึงสี่พันแล้วแต่ชนิด
ส่วนปูขนตัวโตราคาราวเกือบห้าพันบาทแล้วแต่ขนาดที่มาในแต่ละวัน
ที่น่าสนใจคือปลาหายากต่างๆ ของที่นี่ค่อนข้างจะแปลกจริง บางวันก็มีเป็นลูกปลาไหลตัวเล็กๆ ใสๆ บางวันมีสเปิร์มปลารสออกมันๆ มาให้ลองชิม (Shirako 200B)
แถมบางทีก็มีหอยสังข์หรือหอยเป๋าฮื้อตัวโตมาให้เลือกด้วย
(Awabi 580B)
ใครที่ชอบลองของหน่อยที่นี่ก็มีปลาปักเป้าให้ลิ้มลอง โดยปลาจะแล่มาแล้วจากญี่ปุ่นโดยฝีมือเชฟที่ได้รับการ certified แล้วว่าแล่ได้อย่างปลอดภัย
ถ้ามาถึงแล้วนั่งที่บาร์ก็สามารถถามไถ่ได้เลยค่ะว่าวันนี้มีปลาพิเศษตามฤดูกาลเป็นอะไรบ้าง เชฟก็จะเอาวัตถุดิบสุดยอดเหล่านั้นขึ้นมาให้ดูกันทีละอย่างเลย
อย่างวันที่มีปลาหมึกยักษ์เชฟก็เอาออกมาให้ชมเป็นขวัญตา
ส่วนตัวมาทานร้านนี้หลายรอบเลยเคยสั่งแบบที่เป็น a la carte มาลองอยู่หลายเมนูเหมือนกัน
ที่ติดใจก็จะมี ปลาหน้าวัว (Kawahagi 280B) ที่เสิร์ฟมาพร้อมกับตับปลาวางอยู่ด้านบนรสหอมมัน
กุ้งลายเสือ(Kuruma ebi 600B) ที่มาตัวเป็นๆ ทำให้สดหวานอร่อยสุดๆ
และสำหรับคนชอบทาน ไข่หอยเม่น ที่นี่ก็จะมีทั้งแบบธรรมดา (600B) และแบบพิเศษ (800B) ให้เลือกสรรกันค่ะ
อีกเมนูโปรดจะเป็น ตับปลาอังโกะ (Ankimo 350B) หอมมันที่เข้ากันกับซอสพอนสึเปรี้ยวๆ
ไหนๆ จะมาลองร้านนี้ทั้งทีส่วนตัวแนะนำให้เลือกเป็น Omakase ค่ะ ของที่นี่จะมีสามราคาคือ 3000, 5000 และ 7000 บาท
ชุดสามพันจะเป็นปลาธรรมดาที่เหมือนกันตลอด ส่วนชุดห้าพันและเจ็ดพันจะเป็นปลาพิเศษในฤดูกาล
วันนี้เราเลือกสั่งเป็น Tsuki Omakase (5000B) ซึ่งประกอบไปด้วย ซาชิมิ 4 ชิ้น ซูชิ 8 คำ ของปิ้งย่างอีกสองสามรายการ และโรลอีก 2 อันค่ะ
(assorted sashimi, yakisakana or nisakana, hotate isobeyaki, tamagoyaki, assorted dishes, sushi 8 pieces, Bic Roll)
เริ่มต้นเชฟก็จะวางใบไผ่เช็ดสะอาดให้ตรงหน้าเรา แล้วค่อยๆ บรรจงแล่ซาชิมิมาให้เราทาน มีทั้ง ปลาทู (Aji) ปลาตาเดียว (Hirame) และ ส่วนท้องของปลาทูน่า (Otoro) ซึ่งทุกอย่างสดอร่อยสุดๆ สร้างความประทับใจตั้งแต่เซ็ตแรกกันเลย
ต่อมาก็เป็น Hotate isobeyaki หอยเชลล์หวานปรุงรสเครื่องเทศมาบนสาหร่ายกรอบๆ
ตามมาด้วยแก้มปลาย่างหอมๆ รสชาติกลมกล่อม
ถัดมานี่เป็นความเทพของร้านนี้ที่ปั้น ไข่หอยเม่น บนข้าวได้โดยไม่ต้องใช้สาหร่ายห่อและส่งให้บนมือเลยทีเดียว หอยเม่นหอมหวานไร้กลิ่นคาว ฟินกันสุดๆ กับคำนี้
ต่อกันด้วย กุ้งลายเสือย่าง (Grilled kuruma ebi) ทำมาได้สุกพอดีไม่แห้งเกินไป เนื้อยังฉ่ำๆ หวานอร่อย
จากนั้นจึงเป็น ข้าวหน้าไข่ปลาแซลมอน ที่หมักมาเค็มอ่อนๆกำลังดี
และแล้วก็ได้เวลาที่รอคอย คุณเชฟเริ่มเสิร์ฟซูชิรสเลิศมาทีละคำทีละคำ
ซูชิที่นี่ปั้นมาแบบญี่ปุ่นแท้ๆ ประณีตพิถีพิถันมาก ขนาดของคำจะค่อนข้างเล็กสำหรับมาตรฐานเมืองไทย แต่เป็นขนาดที่ใกล้เคียงกันที่เจอในร้านดีๆที่ญี่ปุ่น และเป็นขนาดที่ให้รสสัมผัสและให้สมดุลระหว่างปลากับข้าวได้อย่างสุดยอด
มาคำแรกก็ทำเอาเราเคลิ้มกันด้วย Otoro คุณภาพเยี่ยมที่มีมันแทรกอยู่ กัดเข้าปากแล้วนุ่มละลายไปในพริบตา
ต่อด้วย Chutoro ที่นุ่มมากๆ หลับตาทานนี่เทียบได้เกือบเท่า Otoro ของร้านอื่นๆบางร้านได้เลย
ถัดมาเป็น Saba ที่ดองเปรี้ยวมากำลังพอดี ทานกับสาหร่ายคอมบุที่มาช่วยเสริมรสให้ลงตัวยิ่งขึ้น
จากนั้นจึงเป็น กุ้งลายเสือต้ม รสหวานอร่อย
ตามมาติดๆด้วย Aji หรือปลาทู ที่รสชาติเข้มข้นอยู่แล้วตามลักษณะของปลาตระกูลนี้ พอเจอกับขิงก็ยิ่งเสริมรสให้จัดจ้านขึ้นไปอีก
ร้านนี้ปั้นซูชิมาให้ค่อนข้างเร็ว เวลาทานชุด Omakase สำหรับคุณผู้ชายอาจจะว่าสปีดกำลังพอดี
แต่สำหรับคุณผู้หญิงที่เคี้ยวช้าทานช้าหน่อยอาจจะรู้สึกเหมือนถูกเร่งไปนิด ระหว่างทางก็จะมีซุปมิโซร้อนๆมาให้ซดกันด้วย
กลับมาที่ซูชิที่เชฟปั้นมารัวๆ ก็จะทั้ง Kanpachi
ปลากะพงแดง
หอยเชลล์ สดมากๆ หวานเจี๊ยบ
จนมาปิดท้ายที่ Kohada
ต่อมาด้วยไข่หวาน
ปิดท้ายชุดด้วยโรลชิ้นโตที่มี Negi toro, Uni & Ikura ที่โปะมาจนล้นแบบไม่มีหวงของ
เนื่องจากโคฮาดะรสชาติดีมาก เราเลยสั่งซ้ำ รอบนี้เชฟถักมาเป็นเปียสวยงามเลยทีเดียว และแน่นอนว่ารสชาติก็ยังอร่อยคงเส้นคงวา
บอกเลยว่าซูชิที่นี่ปลาสดสุดๆ ทุกคำ
มาถึงจุดนี้อิ่มกันพอใช้แต่บางคนก็ยังไม่จุใจ เลยสั่ง Natto maki มาทานด้วย
ถ้าใครที่เคยได้ยินกิตติศัพท์ของถั่วหมักแบบญี่ปุ่นที่กลิ่นรุนแรงจนเรียกอีกอย่างว่าถั่วเน่าก็คงจะสยองกันเล็กๆ แต่สำหรับคนที่ชอบทานนัตโตะอยู่แล้วจะต้องรักเมนูนี้ของที่นี่เลยเพราะทำออกมาได้อร่อยจริงๆ
คุยกับเชฟได้ยินว่าที่นี่มีต้นอ่อนของต้นหอมหรือ Menegi ด้วย
อันนี้หาทานยากพอตัวเหมือนกัน ไม่ได้มีกันทุกร้าน เราจึงไม่รอช้าที่จะสั่งมาลองกัน
อันนี้ก็เป็นอีกจานที่ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวของผู้ทาน คือถ้าใครที่ชอบต้นหอมเป็นทุนเดิมก็จะประทับใจยิ่งขึ้นไปอีกเพราะมันหอมสดชื่น
ส่วนตัวผู้เขียนเองที่ปกติไม่ค่อยทานต้นหอมก็ตัดใจทานซูชิคำที่เป็นต้นหอมทั้งคำอย่างเมนูนี้ไม่ลงจริงๆ เลยได้แต่เก็บคำบอกเล่าของเพื่อนๆ มาบอกต่ออีกที
ปิดท้ายด้วยของหวานในชุดคือเต้าหู้ทีรามิสุที่ใช้เต้าหู้ญี่ปุ่นปั่นกับครีมแล้วโรยผงกาแฟผงโกโก้ด้านบน เต้าหู้นั้นนวลเนียนหอมอ่อนๆในตัว
อร่อยจนเราทนไม่ได้ต้องขอสั่งเพิ่มอีกซึ่งทางร้านก็จัดเพิ่มพิเศษให้ได้ในราคาช้อนละ 50 บาท ปิดฉากประสบการณ์มื้ออาหารสุดประทับใจมื้อนี้ลงอย่างสวยงาม
โดยรวมแล้วร้านนี้เป็นร้านญี่ปุ่นที่ authentic มากๆ เรียกได้ว่ามาตรฐานเทียบเท่าร้านดีๆ ที่ญี่ปุ่น
ส่วนตัววางอันดับไว้ให้เป็นหนึ่งในสามร้านที่ดีที่สุดที่เคยทานในกรุงเทพ
สนนราคานั้นสูงตามคุณภาพแต่ถ้าคิดเสียว่าประหยัดค่าเครื่องบินที่จะต้องบินไปทานถึงญี่ปุ่นเพื่อที่จะได้ประสบการณ์การชิมเหมือนต้นตำรับและวัตถุดิบระดับพรีเมี่ยมแบบนี้ก็ถือว่ายังคุ้ม ค
วามสดของปลานั้นสุดยอดจริงๆ และเชฟก็เป็นเชฟที่มากฝีมือผู้เคยเป็นเชฟในย่านกินซ่ามาแล้วก่อนจะมาแสดงฝีมือให้เราทานกันที่นี่
จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ลูกค้าของที่นี่มีชาวญี่ปุ่นอยู่ก็มากจนเราคิดว่ากลุ่มลูกค้าหลักน่าจะเป็นชาวญี่ปุ่นที่โหยหารสชาติและคุณภาพระดับที่คุ้นเคยยามอยู่บ้านเกิดเมืองนอน
ร้านนี้จึงเป็นร้านซูชิอีกร้านที่เราแนะนำให้ทุกๆ ท่านไปลองได้อย่างเต็มปากเต็มคำ