สำหรับรีวิวนี้ เราจะพาคุณไปชิม A-la-carte Brunch ที่รสชาติอร่อยถูกใจ แถมยังมี Brunch บริการทั้งวันเสาร์และอาทิตย์อีกด้วย พร้อมแล้วตามมาทางนี้เลยค่ะ
ร้านอาหารอิตาเลียน Scalini ตั้งอยู่ในโรงแรม Hilton Sukhumvit Bangkok Hotel ที่สุขุมวิท 24 ค่ะ ทางร้านมี A-la-carte Brunch ที่ทำสดๆ ทีละจานเสิร์ฟมาร้อนๆ สั่งได้ไม่อั้น นับเป็นไอเดียเก๋ไก๋ที่รวมข้อดีของการสั่งทีละเมนูรสเลิศมาค่อยๆ ละเลียดชิมขณะที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ โดยไม่ต้องลุกไปตัก กับความคุ้มค่าแบบบุฟเฟต์ที่ทานได้เรื่อยๆ เข้าไว้ด้วยกัน โดย A-la-carte Brunch นั้นจะมีทั้งวันเสาร์และอาทิตย์ เวลา 12.00 – 15.00น. ในสนนราคา 2,200 net (ไม่รวมเครื่องดื่ม) หรือ 2,500 net (รวมเครื่องดื่ม) บอกเลยว่าราคานี้คุ้มสุดๆ เพราะมีทั้งเมนูหลากหลายรูปแบบมาให้เลือกกันอย่างจุใจไม่ต้องกลัวว่าจะทานกันไม่อิ่ม
ทางร้าน Scalini นั้นตกแต่งอย่างมีสไตล์กับธีมย้อนยุคสมัยที่ชาวอิตาเลียนลี้ภัยมายังมหานครนิวยอร์กและได้นำอาหารอิตาเลียนเข้ามาเผยแพร่ในสหรัฐอเมริกา เข้าไปแล้วรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในภาพยนตร์เรื่อง The Great Gatsby เลยทีเดียว ด้วยคอนเซปท์ประเทศอเมริกาสมัยยกเลิก “Prohibition” ทางร้านเองจึงมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชั้นดีชนิดต่างๆ ให้เลือกมากมาย
นั่งปุ๊บขนมปังก็มาวางปั๊บ ขนมปังที่นี่อร่อยมากเสิร์ฟพร้อมกับกระเทียมอบทั้งหัว มี Chickpea & Mushroom dip มาให้ทานคู่
หรือจะขอ Olive Oil และ Balsamic Vinaigrette คุณภาพดียี่ห้อดังจากต่างประเทศมาจิ้มขนมปังทานก็ได้
เนื่องจากทางร้านให้สั่งได้ทีละห้าจานเราจึงทยอยสั่งอาหารเบาๆ เริ่มจากหมวด “Refreshing appetizers” ก่อน Oyster Fine de Claire with caviar and Prosecco foam ของที่นี่สุดยอดมาก
นอกจากตัวหอยนางรมจะสดจนหวานเจี๊ยบแล้ว Prosecco foam หรือโฟมจาก sparkling white wine ยังให้กลิ่นหอมและรสสัมผัสละมุนจากฟองโฟม ถ้าไม่ติดว่ายังมีอีกหลายรายการให้ลิ้มลองนี่แทบอยากจะทานอีกหลายๆ ตัวเลยทีเดียว
Smoked king salmon blini, chives, crème fraîche นี่ก็ทำให้เราได้ประหลาดใจกับรสชาติอันลุ่มลึกของแซลมอนรมควัน เมื่อเชฟ Egidio Latorraca ได้ให้เกียรติออกมาทักทายและให้เวลาพูดคุยจึงสอบถามได้ความว่าเมนูนี้ใช้ Gravlax Salmon คือนำแซลมอนไปผ่านกระบวนการหมักกับน้ำตาลและเกลือในสัดส่วนที่เท่ากันโดยสูตรพิเศษของที่นี่นั้นใส่เกรปฟรุ๊ตหรือผลไม้รสเปรี้ยวชนิดอื่นๆ ลงไปด้วยเพื่อเพิ่มรสชาติ กระบวนการนี้ใช้เวลานานเป็นวันๆ ด้วยความพิถีพิถันนี่เองจึงได้แซลมอนออกมารสชาติมาเยี่ยมยอดเช่นนี้
Tuscan Bruschetta, Portobello, mushrooms caprino cheese จานนี้เด่นด้วยชีสและเห็ดที่วางมาบนขนมปังกรอบ รสสัมผัสตัดกันระหว่างกรอบและนิ่มกลิ่นหอมของเห็ดและชีสกลายเป็นความลงตัวที่ทำให้ทานเพลิน
Italian steak tartare ก็เป็นอีกเมนูที่ทำให้เราทึ่ง เพราะส่วนใหญ่จะเคยทานแต่ที่รสจัดจ้านหนักพริกไทยหนัก caper รสเปรี้ยวๆ แต่ของที่นี่กลับทำออกมารสนวลๆ กลมๆ อร่อยอย่างที่ไม่เคยลองที่ไหนมาก่อน แสดงถึงความมั่นใจในคุณภาพของวัตถุดิบจึงไม่ได้ต้องนำรสชาติใดๆ มากลบ เชฟเล่าให้ฟังว่าได้ตัดสินใจทำรสชาติแนวนี้โดยปรับใช้เป็น truffle mayo เพราะเกรงว่าหากรสจัด รสของจานนี้จะไปกวนกับการรับรสชาติของจานอื่นๆ ที่ทานด้วยกัน นับเป็นความใส่ใจในรายละเอียดที่น่าประทับใจจริงๆ
หมวดถัดไปคือหมวด “Morning Glory Wakes up!” ที่มีอาหารเช้าแบบต่างๆ ให้เลือกชิม Egg Norwegian, smoked salmon, bagel bread, chives béarnaise cream ก็ทำไข่มาพอดีเป๊ะตัดแล้วไข่แดงเยิ้ม ทานกับครีมสูตรเด็ดแซลมอนรมควันและเบเกลเสริมรสกันอย่างลงตัว
Vegetable Frittata on toast, tapenade, rocket salad จัดมาได้อย่างน่ารัก ตัวไข่เจียว frittata ทำออกมาเนื้อแน่นกำลังพอดี ผักที่อยู่ในไข่ทั้งหมดเชฟได้นำไปหมักและต้มก่อนเพื่อให้ทานง่าย
สำหรับใครที่ชอบทานสลัดผัก หมวด “Organic Royal Project Farm” ก็มีสลัดให้เลือกถึงสี่ชนิดด้วยกัน Seasonal mix salad, bell peppers comfit, lemon ricotta, cherries dressing รสชาติไม่ธรรมดาอีกเช่นกันด้วยส่วนประกอบพิเศษอย่าง lemon ricotta ครีมรสหวานอมเปรี้ยวที่ทานเท่าไรก็ไม่เบื่อและน้ำสลัดเชอร์รี่รสเปรี้ยวเล็กๆ ที่ทำให้สลัดจานนี้รสชาติสดชื่น
อีกหมวดที่ทุกคนรอคอยคือหมวด “Seafood and fish market” รายการ Sauteed black mussels, Espelette chili, white wine sauce นั้นรับรองว่าต้องถูกใจคนชอบหอยแมลงภู่ เพราะให้หอยตัวอวบๆ มาอย่างไม่หวง
Swordfish belly, foie gras, onion compote, miso เนื้อปลาสุกพอดีทานกับซอสมิโซะรสกลมกล่อม โปะมาด้วยตับห่านทำมากรอบนอกนุ่มใน
Refreshing pacific rock lobster, Confit potato, Kalamata and sautéed baby spinach เป็นจานเด็ดอีกจานที่คาดว่าจะมีคนสั่งกันไม่ขาดสายกับกั้งตัวโตเนื้อแน่นที่มากับผักโขมและมันฝรั่ง
หมวดจานหลัก “Main Affaire Event” ก็อัดแน่นไปด้วยเมนูน่าทาน Roasted Australian Rib eye, butternut puree and white mushroom sauce เนื้อออสเตรเลียที่ทำมาสุกพอดีชุ่มฉ่ำกับซอสเห็ดและครีมสควอชเลิศรสที่เชฟแอบใส่รสส้มอ่อนๆ ลงไปเพิ่มเสน่ห์ให้จานนี้เป็นอย่างมาก
Slow cooked lamb ribs, truffle puree, lentil stew เนื้อแกะตุ๋นจนนุ่มเข้าปากแล้วแทบละลายทานกับซอสทรัฟเฟิลอร่อยล้ำ
พาสต้าของที่นี่มีให้เลือกหลายเมนูแต่ละจานรสชาติต้นตำรับจากฝีมือเชฟชาวอิตาเลียนแท้ๆ แถมยังเป็นพาสต้าทำมือสดๆ อีกด้วย และ Orechiette pasta, pork sausage, Portobello mushrooms, spicy tomato ก็เป็นจานที่พิสูจน์ให้เราเห็นว่าพาสต้าที่ทำเองสดๆนั้นรสสัมผัสนุ่มนวลแตกต่างจากพาสต้าทั่วๆ ไปเพียงไร
ที่เด็ดไปกว่าพาสต้าคือริซอตโต้ของที่นี่ที่ใช้ข้าว Acquerello ที่ทำออกมาแล้วหอมนุ่มกำลังพอดี
ทั้ง Risotto, wild mushrooms, balsamic syrup และ Ferron rice risotto with pan fried foie gras นั้นถือว่าเป็นหนึ่งในจานริซอตโต้ที่อร่อยที่สุดที่เคยชิมมาในกรุงเทพฯ เลยก็ว่าได้
ปิดท้ายอาหารจานหลักด้วยพิซซ่าอิตาเลียน Seafood pizza, calamari, tuna, salmon, prawns, onions, chili, oreganoที่เต็มไปด้วยอาหารทะเลหลายชนิดให้เราได้ทานกับแป้งบางกรอบสูตรของที่นี่
และสุดท้ายหมวดที่ขาดไม่ได้คือ Grandmother Finale ที่นำขนมหวานสูตรเด็ดมาให้คุณๆได้ลิ้มลอง ทั้ง Lemon Tart รสเปรี้ยวถึงใจ Blueberry cheese cake เนื้อเนียนนุ่ม Scalini Tiramisu รสอ่อนๆ ไม่เข้มเกินไปเหมือนอีกหลายๆ สูตร Provencal strawberry tart ที่ให้สตอเบอร์รี่มาเน้นๆ และ Chocolate cake ที่เข้มข้นอร่อยเหมือนหน้าตาที่สุดแสนจะน่าทาน ในแต่ละหมวดยังมีรายการอาหารให้ลองอีกมากมายแต่แค่นี้เราก็อิ่มกันมากแล้ว คิดว่าคงจะได้ชักชวนผองเพื่อนกลับมาลองกันอีกสักครั้งสองครั้งเพราะติดใจที่นี่มากและอยากลองชิมเมนูอื่นๆ ให้ครบ
ด้วยคุณภาพอาหาร ความอร่อย และความละเมียดละไมของการรังสรรค์อาหารจานต่างๆ ของเชฟ ทำให้มื้อนี้เป็นมื้อสุดคุ้มกับราคา 2200 net บอกเลยว่า All you can eat ขนาดนี้ ไม่ควรพลาดจริงๆ ค่ะ
จองได้ที่นี่ คลิ้กเลย!
***
อย่าลืมติดตามงานเขียนอื่นๆ ของเราได้ที่ www.foodiesjournie.com
และแวะไปพูดคุยทักทายกันได้ที่หน้าเพจ www.facebook.com/foodiesjournie ค่ะ