วันนี้มารีวิวร้านโปรดในดวงใจคือร้าน Sankyodai ค่ะ
ร้านนี้อยู่ที่ 24th Avenue สุขุมวิท 24 เดินทางไม่ยากเท่าไร มีทีเด็ดอยู่ที่ปลาสดใหม่ มีปลาหายากหลายอย่างให้ได้ลองชิมหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามฤดูกาลอยู่ไม่ขาด
และที่สำคัญคือเชฟน่ารักใจดี พิถีพิถันและเอาใจใส่กับการทำซูชิอร่อยๆมาให้ลูกค้าได้ฟินทุกครั้งที่ไปอุดหนุนค่ะ
สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับร้านอาหารญี่ปุ่นอันดับต้นๆ ในดวงใจก็คงจะหนีไม่พ้นคุณภาพและความสดของวัตถุดิบ รวมไปถึงความพิถีพิถันในการรังสรรค์ปั้นซูชิชนิดต่างๆ
ร้าน Sankyodai จึงได้ขึ้นแท่นเป็นอันดับแรกๆ ที่เรานึกถึงเมื่ออยากทานซูชิ เพราะนอกจากจะได้อิ่มอร่อยกับวัตถุดิบชั้นเลิศที่เชฟบรรจงทำออกมาให้ลิ้มลอง ก็ยังจะได้อิ่มอกอิ่มใจกับความรู้สึกดีๆ ที่ได้จากการบริการอันน่าประทับใจของทางร้านกลับมาด้วยเสมอ
ใครที่จะมาลองชิมร้านนี้แนะนำให้จองเป็นที่ sushi bar เพราะนอกจากจะได้พูดคุยสะสมความรู้เกี่ยวกับปลาชนิดต่างๆ จากคุณเชฟผู้ใจดี คุณยังจะได้พินิจพิจารณาเทคนิคในการรังสรรค์อาหารแต่ละจานของเชฟอย่างใกล้ชิดอีกด้วย
ครั้งแรกที่เราไปคนไม่มากจึงได้ถามไถ่เชฟกันอย่างจุใจ
เริ่มจากจาน San Umi Sake Sashimi (480 บาท) เป็นซาชิมิแซลมอนชิ้นโต มีที่มาจากสามแหล่งด้วยกัน ทั้ง Norway Tasmanian และ King Salmon
ส่วนตัวชอบ King Salmon มากที่สุด บางครั้งเมนูนี้ก็จะเปลี่ยนแปลงตามวัตถุดิบที่มี บางทีก็จะมีโอกาสได้ชิมแซลมอนจาก Lochduart มาไกลจากทางเหนือของสก็อตแลนด์เลยทีเดียว
แซลมอนซูชิของที่นี่ก็มีหลายแบบ แบบดั้งเดิมก็มี แบบฟิวชันก็อีกหลายเมนู
อย่างถ้าสั่งแบบ Salmon Toro ส่วนท้องที่มีมันเยอะหน่อยก็สามารถสั่งให้เป่าไฟได้ออกมาจะหอมมันยิ่งขึ้น
หรือถ้าอยากชิมความแปลกใหม่แนะนำให้ลอง Jelly Belly (130 บาท) แซลมอนส่วนท้องที่มากับซอสพอนซึที่นำไปทำเป็นเยลลี่ รสเค็มและเปรี้ยวของพอนซึนั้นเข้ากันได้ดีกับแซลมอนอยู่แล้ว ยิ่งทำเป็นเยลลี่ก็ยิ่งให้รสสัมผัสที่พิเศษยิ่งขึ้นไปอีก
เมนูปลาดิบของทางร้านมีให้มากจนแทบเลือกไม่ถูก
เราเลือก Ika (70 บาท)
Madai Ikura Sushi (190 บาท)
และ Kinmedai Sushi (310 บาท)
ลองแล้วอร่อยทุกอย่างจริงๆ
จุดเด่นของร้าน Sankyodai คือการนำเข้าวัตถุดิบพิเศษส่งตรงจากตลาดปลา tsukiji มากันเลย ดังนั้นก็จะมีปลาสดตามฤดูกาล และสามารถนำเสนอหลายๆ อย่างที่เราเองก็อาจไม่ได้ทานกันบ่อยนัก เช่นปลา Nodoguro (Blackthroat Seaperch) ที่มีน้อยร้านจริงๆที่จะมีขาย หรือ Kawahagi ปลาหน้าวัวที่จะทานคู่กับตับจึงให้ความหอมมัน และอีกมากมายซึ่งเมื่อแวะเวียนไปหลายรอบเข้าก็จะได้รู้จักได้ลองปลาใหม่ๆ อยู่เรื่อยๆ
อย่าง Akagai หรือหอยแครงที่นี่ก็มีให้ได้ลิ้มลอง
หอยแครงที่นี่สดมากเนื้อกรุบกรอบ
หรือบางวันก็จะมี Karsuki Hotate Sashimi (700 บาท) หรือหอยเชลล์เป็นๆ รสหวานเจี๊ยบมาให้ได้ชิม
Amaebi Sushi (140 บาท) หรือกุ้งหวานของที่นี่ก็สด
ที่ประทับใจมากก็คือ Kuruma Ebi (260 บาท) กุ้งคุรุมะที่เนื้อสดหวานรสแตกต่างชัดเจนจากกุ้งธรรมดาทั่วไป
อีกหนึ่งเมนูที่ขึ้นชื่อของร้านก็เห็นจะเป็น Otoro (460 บาท) หรือส่วนท้องของปลาทูน่า
ชิมมาหลายร้านบอกได้เลยว่า Otoro ร้านนี้คุณภาพสูงหาตัวจับยาก เนื้อนี่แทรกมันจนนุ่มละลายในปากทันทีที่สัมผัส ไม่เคยเจอเส้นใยให้ระคายใจเลยสักครั้ง
ดูจากรูปก็คงพอจะบอกได้ว่า Otoro ของที่นี่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ยิ่งทานกับไข่ปลาคาเวียร์เค็มๆที่ทางร้านให้มาเคียงกัน รสชาติเข้ากันอย่าบอกใคร
สำหรับคนชอบทานซูชิแบบเป่าไฟ ที่นี่มีให้เลือกหลายอย่าง
ส่วนตัวคิดว่าเซต Seikai Aburi (1,450 บาท) นั้นคุ้มค่าที่เดียวเพราะมีทั้ง Otoro, Kuruma Ebi, Engawa, Matsuzaka Beef, Foie Gras และ Beef Tongue ในชุดเดียว วัตถุดิบชั้นเยี่ยมพอเป่าไฟมาก็จะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ รสสัมผัสนุ่มกำลังพอดี ครีบปลาตาเดียวของที่นี่ยังไม่ค่อยหอม แต่อย่างอื่นอร่อยจนไม่รู้จะติอะไร โดยเฉพาะเนื้อและตับห่านที่เราชื่นชอบมากจนต้องสั่งเพิ่ม
โดยลองสั่งเป็น Foie gras Engawa Matsuzaka Sushi (650 บาท) ที่มีวัตถุดิบชั้นเลิศทั้งสามในคำเดียวกัน
ส่วนถ้าชอบอีกคอมโบหนึ่งก็สามารถสั่งเป็นคู่อย่างสั่งเพียง Foie gras Engawa Sushi
หรือ Foie gras Matsuzaka Sushi (550 บาท) ก็ได้
คุณเชฟร้านนี้เอาใจลูกค้ายืดหยุ่นให้เราขอจับคู่ในแบบที่เราต้องการได้
เช่นคู่ง่ายๆ อย่าง Unagi Avocado(90 บาท) ที่ไม่มีในเมนูแต่เชฟก็ทำให้ตามคำขอ
หรือ Special Nigiri (350 บาท) ที่เราบอกให้เชฟลองเดาใจทำมาเซอร์ไพรส์ เชฟจึงจัดพิเศษเป็น Madai, Foie gras, Quail egg & Caviar ในคำเดียวกัน ออกมาได้รสชาติแปลกใหม่ ไข่นกกระทาช่วยหลอมรวมให้วัตถุดิบอื่นเข้ากันอย่างดีเยี่ยม เป็นอีกหนึ่งไอเดียเก๋ๆ ที่เราต้องกลับมาสั่งให้เชฟทำให้อีกเกือบทุกครั้งที่มา
ที่ถูกใจสุดๆ คือเคยขอซื้อ Uni ยกกล่อง (6,000 บาท)
และคุณเชฟก็คิดเมนูที่ใช้ไข่หอยเม่นออกมาให้เราชิมสองเมนูด้วยกัน
มีทั้ง Uni กับปลาหมึกฝานเส้นบางพร้อมสาหร่ายเส้นๆ โปะด้วยไข่นกกะทาที่จัดมาในแก้วเล็กใสวางบนน้ำแข็งในถ้วยทรงสูงอีกชั้น
จานนี้รสชาติละมุนยอดเยี่ยมไม่แพ้การจัดวาง
คือเชฟตั้งใจมาก
อีกเมนูนั้นวางไขหอยเม่นบนสาหร่ายหอมกรอบกับข้าวซูชิ
แล้วโปะไข่ปลาแซลมอนและคาเวียร์ด้านบน
ไข่สามอย่างเข้ากันได้ดีสุดๆ Uni เน้นๆ สองเมนูนี้ ด้วยวัตถุดิบที่ยอดเยี่ยมและการจับคู่ที่เข้าใจรสชาติขององค์ประกอบต่างๆ อันเหนือชั้นของคุณเชฟเรียกได้ว่าทำให้ฝันของคนรัก Uni เป็นจริงกันเลย
สุดท้ายเราสั่งไข่หวานของที่นี่มาลอง โดยลองทั้ง Tamago Sashimi (130 บาท)
และ Tamago Sponge (120 บาท) อันเลื่องชื่อ
ทานแล้วติดใจกับไข่สปันจ์สุดๆ เพราะเนื้อนุ่มฟู รสสัมผัสละมุนละไม ที่หอมอร่อยเพราะใช้ปลา Madaiและกุ้งคุรุมะบดละเอียดในการทำ ทานแล้วถึงกับเคลิ้ม ไม่เสียแรงที่เป็นสูตรลับตำรับเด็ดของทางร้านที่เลือกสรรมาให้เราได้ลอง
ปิดท้ายด้วยพุดดิ้งเนื้อนวลหวานอร่อย
ด้วยความที่ทุกอย่างทำออกมาได้เหมาะเจาะลงตัว ร้านนี้จึงเป็นร้านที่เราแวะเวียนไปอยู่เสมอไม่ได้ขาดจนกลายเป็นขาประจำไป จึงมั่นใจที่จะแนะนำร้านนี้ให้คุณลองเพราะคุณจะได้พบกับปลาดิบคุณภาพเยี่ยมและบริการประทับใจในราคาที่สูงแบบสมเหตุสมผลค่ะ
จอง Sankyodai ได้ที่นี่ คลิ้กเลย!
***
ติดตามเราได้ที่ FB page: www.facebook.com/foodiesjournie & website: www.foodiesjournie.com นะคะ