ในโอกาสอันดีที่เชฟฝีมือระดับโลกอย่างเชฟ Joel Robuchon มาเยี่ยมเยือนไทยในช่วง 8-15 November นักชิมอย่างเราจึงไม่พลาดที่จะคว้าโอกาสพิเศษนี้ในการไปลองฝีมือเชฟในตำนานกันค่ะ
L’Atelier de Joël Robuchon เป็นร้านที่โด่งดังอย่างกว้างขวาง มีหลายสาขาทั่วโลก
แน่นอนว่ามีที่ฝรั่งเศส ในอเมริกาก็มีที่ Las Vegas และมีสาขาที่ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเก๊า ญี่ปุ่น และ อีกหลายประเทศ
ด้วยฝีมืออันเด็ดดวงของเชฟจนเป็นที่เล่าขานจึงไม่แปลกใจเลยที่เชฟจะได้รับดาวมิชลินมาครอบครองมากถึง 25 ดวงด้วยกัน
ที่เชฟใหญ่มาคราวนี้ และจัดเมนูพิเศษมาให้เราได้ชิมกันถือเป็นการฉลองการเปิดสาขาในไทยมาได้ครบหนึ่งปีค่ะ
เช่นเคยเริ่มต้นมื้อด้วย bread basket ที่ให้ขนมปังอุ่นๆ หลากหลายชนิดมาให้เราได้รองท้องรออาหารจานหลักกัน
จากนั้นก็เป็นควินัวชิ้นเล็กทอดมากรอบๆ ราดซอสมายองเนสรสอมเปรี้ยว
กัดแล้วจะกรอบๆ อุ่นๆ ซาบซ่านในปาก
ต่อมาด้วย…เมนูเซอร์ไพรส์
(ในเมนูก็ตั้งชื่ออย่างนี้จริงๆ ค่ะ A surprise of Caviar)
คาเวียร์รสเยี่ยมกับเนื้อปูสดหวาน เสริมลูกเล่นด้วยชั้นของ gelee ตรงกลาง ให้รสสัมผัสเด้งดึ๋งของเยลลี่ รสชาติเค็มๆของคาเวียร์เข้ากันดีกับความรู้สึกคลีนๆ รสออกหวานอ่อนๆ ของเนื้อปู และรสอมเปรี้ยวของ gelee
ปลื้มปริ่มกับคาเวียร์ชั้นเลิศไปแล้วก็มาต่อด้วยจานเบาๆ คือ บีทรูท
จานนี้เป็นบีทรูทหั่นเต๋ากับอโวคาโดซอร์เบท์เย็นฉ่ำ ตกแต่งจานมาด้วยซอสหลากสี
จานนี้ชนะเลิศที่ตัวอโวคาโดซอร์เบท์ที่รสชาติกลมกล่อม มีกลิ่นหอมเครื่องเทศและสมุนไพรออกฉุนขึ้นจมูกเล็กๆ กินคู่กับบีทรูทกำลังพอดี
จานถัดมาคือ L’ARTICHAUT
อาร์ติโชคอบ ด้านบนกรอบ ด้านล่างนุ่ม เสิร์ฟมาบน puree เนื้อเนียน
ชอบที่ด้านบนทำมาเสียกรอบรสสัมผัสตัดกันเด่นชัดกับตัวอาร์ติโชคด้านล่าง puree เนื้อเนียน และโฟมนุ่มๆ ที่ผสม tumeric เพิ่มกลิ่นหอม
แต่ที่ไม่ชอบคือการที่โรยพริกป่นมาด้วยนี่ล่ะค่ะ เพราะลิ้นชาไปกับพริกทำให้ได้รับรสอื่นๆ ไม่เต็มที่เท่าที่ควร ขนาดพยายามตักหลบๆ พริกนะคะนี่
และที่ปลาบปลื้มเป็นพิเศษคือเมนูปลาตาเดียว (Sole) ที่เชฟทำให้เราโดยเฉพาะ
แม้เมนูนี้จะดูเรียบง่ายแต่ก็เต็มไปด้วยรสชาติอันเข้มข้น
เนื้อปลาทำมาสุกพอดีเป๊ะทำให้เนื้อสัมผัสออกมายอดเยี่ยมอย่างที่ไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อน
รสชาติที่ปรุงมาด้านบนก็เค็มเข้มข้น แต่ก็ไม่ได้เค็มมากจนเกินไป
ปลานี่มาทั้งตัว มาตัดแบ่ง table side ให้สำหรับทานสองท่านค่ะ
ถึงจานนี้ก็เริ่มอิ่มกันแล้วแต่รายการยังไม่หมดแค่นั้น
ของหวานยังมี LE PARFUM DES ÎLES
เมนูนี้เป็นกล้วยที่ผ่านการ caramelized ใส่กับ passion fruit cream และ rum granité
ด้านบนเป็น coconut mousse รสสัมผัสนุ่มละมุน
ด้านล่างเย็นและหวานฉ่ำ ส่วนตัวคิดว่ารัมเยอะไปนิดจึงเข้มและออกขมไปหน่อย พอทานกับมูสมะพร้าวก็ช่วยตัดรสให้ทานง่ายขึ้นมาก
ชอบที่แอบฝนมะนาวใส่ด้านบน lime zest ทำให้มูสมะพร้าวหอมและรสเปรี้ยวตัดกับรสหวานช่วยไม่ให้หวานเลี่ยนจนเกินไป
ตบท้ายกันด้วยของหวานสุดเก๋ที่ยังไม่มีในเมนูแต่ Pastry chef ให้เราได้เป็นหนูทดลอง คือ White Truffle เมนูที่ inspired จากเห็ดทรัฟเฟิลขาวในครัว
ทางบริกรเล่าว่า เชฟเห็นว่าในครัวมี white truffle มากมาย อยากทำเมนูอะไรให้เข้ากับธีมเห็ดทรัฟเฟิลบ้าง เลยรังสรรค์ออกมาเป็นของหวานหน้าตาน่ารักที่มีรูปร่างเป็นเห็ดชิ้นน้อยๆ ทำจากไวท์ช็อกโกแลตทรัฟเฟิล เล่นคำกับ truffle ที่เป็นเห็ดจริงๆ นั่นเอง
ด้านบนเป็นมูสเหล้าเชอร์รี่ โปะอยู่บน white chocolate truffle และผง cacao ที่ทำออกมาแทนดินดูแล้วเหมือนเป็นเห็ดน้อยกลางป่า
แค่นั้นไม่พอตอนเสิร์ฟยังมีการราดซอสสตรอเบอร์รี่เยิ้มๆ ด้านบนอีกที ฟินกันสุดๆ
จบจริงๆ ด้วยขนมชิ้นเล็กๆ ปิดท้ายตามธรรมเนียมฝรั่งเศสอย่าง Madeleine และ ช็อกโกแลตชิ้นเล็กที่ด้านในเป็น liquor
แอบรู้สึกว่านอกจากไวน์สามแก้วแล้ว ทางร้านต้องกะให้เราเมาด้วยเหล้าแบบต่างๆ ที่ผสมมากับอาหารแน่ๆ ขนมหวานยังมี liquor กันถึงหยดสุดท้าย
พูดถึงไวน์แล้วก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้เล่าให้ฟังกันเลยค่ะว่า Sommelier ของที่นี่เขาเก๋าแค่ไหน
ถ้าใครชินกับอาหารฝรั่งเศสคงเข้าใจว่าการ pairing wine กับอาหารให้รสชาติเสริมกันและกันนั้นเป็นศาสตร์และศิลป์อย่างหนึ่งที่ลึกซึ้งมากทีเดียว ในเมืองไทย หาร้านระดับท็อปๆ ที่จะมี Sommelier ที่เข้าใจศาสตร์ของไวน์อย่างแท้จริงก็มีแค่ไม่กี่ร้านเท่านั้น
แต่ที่แน่นอนคือร้านนี้เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ ตัว Sommelier สามารถบอกเล่าประวัติความเป็นมา ทั้งแหล่งที่มาขององุ่น ตัวไร่องุ่น แคว้นที่ปลูก พันธุ์องุ่น รวมถึงอธิบายรสชาติและ characteristics ต่างๆ ของไวน์ได้อย่างถี่ถ้วน ใครที่ชื่นชอบกับการดื่มไวน์ มาร้านนี้ไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ
โดยรวมแล้วอาหารทุกจานที่ได้ทานในวันนี้จึงผ่านการรังสรรค์ออกมาอย่างปราณีตพิถีพิถัน ได้รสชาติที่ลุ่มลึกและมีสเน่ห์สมกับที่เชฟใหญ่บินมาโชว์ฝีมือเอง
นอกจากจะเต็มไปด้วยองค์ประกอบที่รวมกันแล้วทำให้มื้อนี้เป็นมื้อที่แสนพิเศษไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศ ร้านที่บรรยากาศและบริการดีเยี่ยมแล้ว ก็ยังได้เชฟผู้เชี่ยวชาญ และนักชิมไวน์ที่เปี่ยมประสบการณ์มาคอยดูแลให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างสมบูรณ์ สร้างประสบการณ์แสนดีที่จะอยู่ในความทรงจำของเราไปอีกนานเลยทีเดียว
หมายเหตุ
เนื่องจากวันนี้เป็นโอกาสพิเศษเมนูและราคาก็จะเป็นรายการเฉพาะที่มีเฉพาะช่วงที่เชฟใหญ่อยู่เท่านั้นนะคะ
ใครสนใจดูว่าชุดในวันธรรมดา เช่น ชุด 7-course degustation menu (7,500B++) หน้าตาเป็นอย่างไร มีเมนูน่าทานอะไรบ้าง ลองเข้าไปชมได้ที่ Gallery ของเรากันได้ค่ะ 🙂
จองได้ที่นี่ คลิ้กเลย!
***
อย่าลืมติดตามงานเขียนอื่นๆ ของเราได้ที่ www.foodiesjournie.com
และแวะไปพูดคุยทักทายกันได้ที่หน้าเพจ www.facebook.com/foodiesjournie ค่ะ