ใครว่าอาหารอินเดียกินยาก! ลองมาชิม Masala Art ที่ประยุกต์รสชาติให้กลมกล่อมแล้วจะติดใจ

Masala art, indian cuisine, eight thonglor, thonglor, curries, indian food, ร้านอาหารอินเดีย

หลายครั้งหลายคราที่พออ้าปากชวนใครไปกินอาหารอินเดียทีไรก็จะต้องมีคนทักท้วงว่า เผ็ดไป หรือกินยากกินไม่เป็น

วันนี้จะนำเสนอร้านอร่อย Masala Art ที่ทำอาหารอินเดียให้รสชาติกลมกล่อมทานง่ายจนใครๆ ก็ต้องหลงรัก เหมาะนักล่ะกับ beginner ที่อยากจะเริ่มเปิดใจให้กับอาหารอินเดีย

Masala Art 2

ร้าน Masala Art ตั้งอยู่บนชั้น 1 ของ ตึก Ei8ht Thonglor ที่ทองหล่อซอย 8 ตึกมีที่จอดรถสะดวกสบาย ทางร้านประทับตราบัตรจอดรถให้ได้ไม่วุ่นวาย หากเดินทางมาโดยบีทีเอสทองหล่อ ก็สามารถนั่งรถแท็กซี่ รถแดง เข้ามาได้ไม่ไกลมากนัก

ตีกนี้เข้ามาจะเป็นชั้น G ต้องเดินขึ้นบันไดเลื่อนมาหนึ่งชั้น จะเจอร้าน Masala Art ตั้งเด่นเป็นสง่าหน้าบันไดเลื่อนของชั้นหนึ่งเลยค่ะ

Masala Art 1

ทางร้านตกแต่งสวยงามได้บรรยากาศอินเดียแต่ก็ดูทันสมัยในที ข้าวของเครื่องใช้ที่วางประดับประดาหรือแม้แต่ผ้าก็ซื้อหามาจากประเทศอินเดียทั้งสิ้น

Masala Art 3

ที่ร้านค่อนข้างกว้างขวางดังนั้นถ้าจะชวนกันมาลองชิมกันหลายคนเป็นกลุ่มใหญ่ก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด

Masala Art 4

เมนูอาหารมีหลากหลายน่าทาน ใครที่ยังใหม่กับอาหารอินเดียอยู่แนะนำให้สอบถามกับบริกรค่ะ

ที่นี่บริกรมีความรู้ดี รู้จักอาหารแต่ละจานบรรยายให้ฟังได้อย่างละเอียดและช่วยแนะนำจานเด็ดให้ได้ด้วยโดยมักจะพยายามแนะนำหลายๆ แบบทั้งที่รสจัดบ้าง รสอ่อนหน่อยบ้าง คละเคล้ากันไปให้ลองชิมหลากหลายแบบ

อาหารส่วนใหญ่จะทำให้ค่อนข้างเผ็ดน้อย ใครที่ทานเผ็ดไม่ได้เลย ก็บอกให้ปรับให้เผ็ดน้อยลงอีกได้ค่ะ ส่วนบางท่านที่ชอบรสเข้มข้นจัดจ้านทานเผ็ดได้สบายก็แจ้งทางร้านได้ เชฟจะปรับให้รสถึงใจมากขึ้นตามความชอบของคุณลูกค้า

สำหรับเครื่องดื่ม ที่นี่ก็มีให้ลองชิมหลายอย่าง ใครมาค่ำๆ อยากจิบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทางร้านก็มีให้ครบ ส่วนเราซึ่งชอบโยเกิร์ตแบบอินเดียก็ไม่พลาดที่จะสั่ง Lassi (150B) และ  Mango Lassi (175B) มาชิมกัน

ซึ่งทั้งสองแก้วนี้จะมีเบสที่เป็นโยเกิร์ตหอมมันตัวเดียวกัน โยเกิร์ตของที่นี่เปรี้ยวเล็กๆ ข้นหน่อยๆ กำลังดี

ที่ร้านเล่าว่าทางร้านทำโยเกิร์ตเองทั้งหมดโดยพิถีพิถันใช้เวลาเตรียมโยเกิร์ตนานข้ามวัน มีการตากเพื่อสะเด็ดน้ำออกเพิ่มให้ได้โยเกิร์ตที่เนื้อเนียนเข้มข้นขึ้น

Masala Art 7

ก่อนที่อาหารจานแรกจะมาทางร้านจะมี complementary appetizer หน้าตาสีสันสดสวยเสิร์ฟให้ทุกท่าน

คือซุปมะเขือเทศต้มปรุงด้วยเครื่องเทศโรยผักชีที่เรียกว่า Tamatar Dhania ka Sorba

ซุปถ้วยเล็กนี้เสิร์ฟอุ่นๆ เผ็ดนิดๆ ได้กลิ่นเครื่องเทศ กระตุ้นต่อมรับรสให้คุณๆ ก่อนจะลิ้มลองจานต่อๆ ไป

Masala Art 5

พร้อม complementry dish อีกจานคือ Crispy papadum ตัว papadum นั้นทำจากแป้งสาลีที่ผสมสมุนไพรและเครื่องเทศแล้วนำมาคลึงแล้วปิ้งในเตา tandoor หรือเตาดินเผาแบบอินเดียที่มีรูปทรงคล้ายโอ่ง จานนี้พิเศษตรงที่นำ papadum มาม้วนเป็นโคนเล็กๆ น่ารัก เสิร์ฟมาบนแท่นวางอย่างดี และมีเครื่องเคียงให้ใส่โคนทานถึงสามอย่างคือ tamarind mango chutney รสเปรี้ยวๆ หวานๆ mint sauce ที่รสออกเผ็ดซ่า และ vinegared onion หัวหอมเปรี้ยวๆ ที่หมักน้ำส้มสายชูมาอย่างเต็มที่ จานนี้ทานกันเพลิน

Masala Art 6

ทางร้านเล่าว่าแป้งข้าวสาลีที่ใช้ในร้านนั้นจะเป็นของอินเดียที่สั่งซื้อจากร้านอินเดียที่เปิดในเมืองไทย เครื่องเทศต่างๆ ก็หาซื้อมาจากร้านอินเดียเช่นเดียวกัน โดยทางเชฟใหญ่ที่เป็นคนออกแบบสูตรอาหาร เมนู และรสชาตินั้นเป็นเชฟชาวอินเดียที่มีประสบการณ์สั่งสมมานานหลายปี

อีกความพิเศษของที่ร้านคืออาหารจะเป็นสไตล์อินเดียเหนือ ดังนั้นจะไม่ได้ออกเผ็ดจัดอย่างอาหารอินเดียใต้ นอกจากนี้ทางร้านยังประยุกต์ เครื่องแกงให้รสชาติอ่อน ไม่เผ็ดมาก ซึ่งจะออกมาหอมเครื่องเทศและกลมกล่อมถูกปากคนไทยกว่า

นอกจากนี้ทางร้านยังใส่ใจสุขภาพ โดยจะเน้นลดความมัน ทุกสูตรที่ปกติใช้กะทิเข้มข้น ที่นี่จะปรับมาใช้เป็นครีมไขมันต่ำแทน เรียกว่าถูกใจสาวๆ หลายคนเลยทีเดียว

อย่างจานแรกนี้คือเมนู Dahi Ke Kebab (295B) 

ลูกชิ้นผักสอดไส้โยเกิร์ตจานนี้ออกรสเผ็ดเล็กน้อย เป็นการนำผักหลายชนิดมาบดเข้าด้วยกัน แล้วทอดต่อจนข้างนอกกรอบ

จานนี้ชูโรงความหอมมันของโยเกิร์ตที่ทำเองได้เป็นอย่างดีและดู healthy เอามากๆ เลยทีเดียว

Masala Art 8

ถัดมาเป็นจาน signature ที่ทีมงานเรายกให้เป็นอันดับหนึ่งของมื้อนี้ คือ Chicken Rogani Tikka (350B)

ไก่หมักโยเกิร์ตของที่นี่รสชาติมันช่างลงตัว คือเผ็ดพอสะใจแต่ไม่เผ็ดจนเกินไป มีความมันของโยเกิร์ตลดความรู้สึกเผ็ด และ เนื้อไก่นุ่มมากกกก… แถมไม่มีกระดูกทานง่ายอีกต่างหาก

สอบถามได้ความว่าใช้เตา Tandoor ในการย่าง ซึ่งเตานี้อุณหภูมิสูงได้ถึงเจ็ดร้อยองศา แถมย่างออกมาจะได้กลิ่นหอมๆ แบบเฉพาะตัว

Masala Art 9

จากนั้น Naan (75B) ชิ้นโตก็ถูกนำมาเสิร์ฟ Naan ของที่นี่ใช้แป้งสาลีคลึงเป็นเวลานานจนนุ่มบาง อบในเตา Tandoor อีกเช่นเคยโดยใช้การล้วงมือเอาแป้งลงไปนาบแปะกับผิวในของตัวโอ่ง จนออกมาผิวเหลืองกรอบ

Masala Art 11

ของที่นี่มี Naan ทั้งแบบธรรมดาและแบบกระเทียม

Masala Art 10

ส่วนใครชอบเป็น Laccha Parantha (75B) หรือโรตีย่างที่ทำจากแป้งโฮลวีท ก็สั่งมาลองกันได้

Masala Art 12

หรือสะดวกใจที่จะทานแกงกับข้าวก็มี Saffron rice (195B) ที่ใช้ข้าว basmati เรียวยาวของอินเดียเค้ามาทำ

Masala Art 16

สำหรับแกง เราลองกันตั้งแต่ Korma แกงกะหรี่เนื้อนวลรสนุ่มที่ตัวแกงทำมาจากมะม่วงหิมพานต์และเครื่องเทศ มีทั้ง ชีส (295B) แกะ (425B) ไก่ (350B) กุ้ง (475B) ให้เลือก

Masala Art 23

และ Butter Chicken 

Masala Art 14

เมนูอร่อยที่รสอ่อนๆ ไม่เผ็ด ซอสครีมมะเขือเทศหอมเนยทานง่าย เหมาะกับใครที่อยากลิ้มรสเครื่องเทศพอรู้จักแต่ยังไม่อยากจะหนักความเผ็ดจนเกินไป

Masala Art 13

แต่ใครที่ใจกล้าท้าให้ลองจานนี้เลย Vindaloo (Paneer -295B)

Masala Art 17

จานนี้เป็นมะเขือเทศผักพริกใส่น้ำส้มสายชู จะออกเปรี้ยวเค็มเผ็ดครบเครื่องเข้มข้น อันนี้สั่งเนื้อสัตว์ได้หลายแบบ ทั้งแกะ (425B) ไก่ (350B) กุ้ง (475B)

เราเลือก Paneer หรือชีสแบบอินเดียมาลองทานซึ่งก็ไม่ผิดหวัง เพราะชีสเนื้อแน่นรสเข้ม เหมาะกับทานกับแกงเผ็ดเสียเหลือเกิน

Masala Art 18

นอกจากแกงชนิดต่างๆ ทางร้านก็ยังมีเมนูอีกเยอะแยะมากมาย แต่ที่เป็นหนึ่งในจานยอดนิยมขายดิบขายดี คือจานนี้ Lasooni Palak (295B) ผักขมสับละเอียดผัดกับกระเทียมและน้ำมันมะกอกที่ทำออกมารสชาติดี ใส่กระเทียมเต็มที่ และด้วยความที่ไม่มีชีสมีครีมอะไร จานนี้จึงเป็นอีกจานที่ชูโรงด้านอาหารสุขภาพของทางร้าน

Masala Art 15

ของคาวว่าอร่อยแล้วของหวานก็ไม่น้อยหน้า เรียงกันมาตั้งแต่ที่รู้จักกันดีอย่าง Gulab jamun (150B) ครีมชีสทอดแช่ในน้ำเชื่อม ที่หลายๆ ที่ทำมาเสียหวานเจี๊ยบแต่ของที่นี่โชคดีของเราที่ทำมาหวานพอดีๆ ไม่ถึงขั้นหวานแสบคอ

Masala Art 22

Kulfi (150B) ไอศกรีมแบบอินเดียที่ใส่ saffron และเครื่องเทศเข้าด้วยกันจนกลิ่นหอมแบบฉบับเฉพาะตัวของสูตรนี้เค้า ชอบรสชาติของเมนูนี้มากมาย และไอศกรีมตัวนี้ด้วยสูตรเฉพาะจะละลายช้าเป็นพิเศษ ค่อยๆ นั่งเล็มกันได้สบายใจ

Masala Art 19

ต่อด้วยรายการที่ไม่เคยเจอที่ไหนอย่าง Gajar Ka Halwa (150B) ขนทหวานที่เป็นแครอทปรุงด้วยนม เสิร์ฟอุ่นๆ ทานแล้วปลื้มไปกับรสละมุน

Masala Art 20

และ Rasmalai (150B) ของหวานทำจากครีมชีสนมแพะ (cottage cheese dumpling) ราด reduced milk ที่มี saffron เป็นส่วนผสมอยู่ด้วย เสิร์ฟร้อนๆ ได้กลิ่นนมเด่น และมีเนื้อสัมผัสร่วนเล็กๆ ทำรสมาไม่หวานมากเกินไป

Masala Art 21

ประทับใจกับร้านนี้มากค่ะเพราะบริการดี แนะนำอาหารให้ได้ อาหารรสชาติละมุนไม่จัด และ ใส่ใจสุขภาพ แถมราคาเองก็สมเหตุสมผล ยิ่งถ้าเป็น Lunch set นี่ คุ้มค่าสุดๆ ชุดใหญ่หลายจานมีตั้งแต่ราคา 349B, 399B, 699B, 799B โดยรวมแล้วเรียกว่าเหมาะกับการลองให้คนที่อาจจะไม่ค่อยแน่ใจนักกับอาหารอินเดียมาลองทาน เพราะทานง่ายถูกใจกันทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ และจะทำให้คุณเข้าใจในรสชาติและศาสตร์ของศิลปะการทำอาหารแบบอินเดียจนต้องหลงรักค่ะ

พิเศษสำหรับแฟนๆ ของ FoodiesJournie สามารถนำรูปคูปองด้านล่างนี้ไปแสดงที่ร้านเพื่อรับส่วนลดถึง 200 บาท ฟรี!

เมื่อ 1. กดไลค์เพจ  FoodiesJournie

2. กดไลค์เพจ Masala Art

และแสดงหน้าจอที่กดไลค์แล้วให้ทางร้าน ก่อนการใช้บัตร (กรุณาแจ้งก่อนสั่งอาหาร)

*เงื่อนไขตามที่ระบุบนบัตร

masalaartcoupon (2)

Comments

comments