สถานที่ท่องเที่ยวที่ส่วนตัวชอบที่สุดในการมาเยี่ยมเยือนกุ้ยหลินก็คือ นาขั้นบันไดหลงจี๋ (Longji Rice Terraces) ค่ะ
การจะมาเที่ยวที่นี่อาจจะต้องฝ่าฟันกันหน่อยเพราะต้องนั่งรถข้ามเมืองเข้ามาค่อนข้างไกล เมื่อมาถึงแล้วก็ยังต้องต่อรถโดยสารสาธารณะของที่นี่ (ไม่อนุญาตให้รถทัวร์ส่วนบุคคลขึ้น) อีกประมาณ 40 นาที ทางรถวิ่งเป็นหน้าผาสูงชัน มองลงไปก็เห็นหุบเหวมีแม่น้ำอยู่ด้านล่าง ถนนแคบมากจนรถสวนกันทีหัวใจจะวาย นึกดีใจที่เป็นรถบัสที่ขับโดยพนักงานผู้เชี่ยวชาญที่ขับขึ้นลงวันหนึ่งๆ เป็นสิบรอบ
หลังจากนั่งรถทัวร์ขึ้นมาถึงแล้วก็ยังต้องต่อเคเบิ้ลคาร์เป็นเวลาอีกประมาณ 20 นาที โดยรวมๆ แล้วการเดินทางไปกลับก็จะปาเข้าไปประมาณเกือบสี่ชั่วโมงต่อขา หากมาทัวร์ที่รถทัวร์เบาะดีนุ่มสบายนอนหลับได้อย่างเราก็ไม่มีปัญหา แถมตอนนั่งรถโดยสารสาธารณะทางทัวร์ก็เหมาคันให้ ช่วยลดเวลาการต่อคิวไปมาก แต่หากมาเจอรถทัวร์ที่นั่งไม่สบายนักและต้องมาตากแดดตากฝนต่อคิวรอรถขึ้นเขาเองเป็นชั่วโมงๆ ก็ถือว่าเป็นที่ที่มาค่อนข้างลำบากเลยทีเดียว
นาขั้นบันไดที่เมืองหลงเซิ่งนั้นถือว่าเป็นนาขั้นบันไดที่ใหญ่ที่สุดในโลก เริ่มสร้างตั้งแต่สมัยราชวงศ์หยวน ไล่มาจนถึงในสมัยราชวงศ์ชิง บริเวณที่เราไปนั้นเรียกว่าหลงจี๋หรือสันหลังของมังกร (Dragon’s Backbone) หากมาช่วงเพาะปลูกราวมิถุนายนจะได้เห็นน้ำที่ขังอยู่เหมือนเป็นขั้นบันไดกระจก ส่วนถ้ามาหน้าก่อนเก็บเกี่ยวช่วงกันยายนก็จะได้เห็นรวงข้าวสีทองเหลืองอร่ามสุดลูกหูลูกตา
งานนี้ที่สนุกสนานเป็นพิเศษเห็นจะเป็นการขึ้น cable car เพราะที่นี่ไม่มีการชะลอ คนโดยสารต้องวิ่งกระโดดขึ้นไปให้ทันเองถึงจะน่าหวาดเสียวไปสักหน่อยแต่พอเห็นวิวจากหน้าต่างแล้วฟินสุดๆ ทิวทัศน์ของนาขั้นบันไดที่สวยจนแทบลืมหายใจ ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกว่างามแทบทุกองศาจนถึงขั้นที่ว่าถ่ายรูปกันมาคนละหลายร้อยรูปกันเลยเชียว
หลังจากชมวิวทิวทัศน์กันจนอื่มใจแล้ว ก็มาอิ่มพุงกันบ้างในช่วงเที่ยง อาหารมื้อนี้ทานกันบนยอดเขา ต้องบอกว่าเป็นวิวร้านอาหารที่สวยสุดๆ เพราะมองออกไปเห็นนาขั้นบันไดสีเขียวชอุ่มทอดตัวยาวจรดขอบฟ้า อาหารพื้นบ้านที่นิยมของที่นี่จะมีเมนูไก่กระบอกที่นำไก่อัดในบ้องไม้ไผ่แล้วสุมไฟเผาด้านนอกจนดำเนื้อไก่ก็จะร้อนระอุอยู่ด้านใน อีกจานที่ชอบมากคือแครอทและหัวไชเท้าพันหมูสับ ดูเป็นเมนูง่ายๆ แต่ปรุงรสชาติออกมาได้กลมกล่อมถูกใจมากๆ ถึงจะเป็นพื้นที่ห่างไกล แต่ทางร้านอาหารก็พยายามเตรียมอาหารให้เราอย่างสุดฝีมือ รสชาติจึงออกมาตามความใส่ใจ อร่อยเหมือนรสมืออาม่าอะไรอย่างนั้นกันเลยทีเดียว อีกอย่างที่ประทับใจคือเจ้าของร้านได้นำชาที่เก็บมาจากป่าของตัวเองที่ไม่ได้อยู่บนเมนูมาให้เราลองชิม ชามีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ตอนดื่มขมเล็กๆ แต่พอกลืนแล้วจะมีความฉ่ำคอตามมา ถือเป็นอีกหนึ่งความประทับใจในอัธยาศัยไมตรีที่เจ้าบ้านมีให้พวกเรา
การเดินทางครั้งนี้ได้รับเกียรติจากรายการ “Leela Me … มีลีลา” และรายการ “รอบจานรอบโลก” ให้ติดตามไปชมเบื้องหลังการถ่ายทำค่ะ จึงสามารถเก็บภาพ exclusive มาได้มากมาย โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน ถ้าอยากชมภาพเคลื่อนไหวพร้อมคำบรรยายแบบรู้สึกรู้จริงเรื่องอาหารจากอาหนิง นิรุตติ์ ศิริจรรยา และ คุณเอ๋ ณัฐพงษ์ จอมบดินทร์ และแอบย่องตามไปเรียนรู้สูตรจากเชฟกันถึงในครัว เชิญชวนให้ติดตามชมเรื่องราวการท่องเที่ยวในกุ้ยหลินในรายการ “Leela Me … มีลีลา” ที่ออกอากาศ ทุกวันศุกร์ เวลา 13.00 – 14.00 น ที่ช่อง 3 Family นะคะ