หลังจากเก็บหอมรอมริบหยอดกระปุกกันไว้ได้พอสมควรเราก็ตัดสินใจควักกระเป๋ามาลองชิมสุดยอดร้านซูชิระดับดาวมิชลินกันเสียที
ร้าน Ginza Sushi Ichi นั้นสาขาต้นตำรับอยู่ที่ย่านกินซ่า เมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นค่ะ
ความอร่อยพิถีพิถันของร้านนี้เป็นที่เลื่องลือจนได้ดาวมิชลินหนึ่งดวงมาครอง
เนื่องจากได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจึงได้เปิดสาขาสองที่ประเทศสิงคโปร์อีกด้วย
และไม่นานมานี้ก็ได้มาเปิดอีกสาขาที่ประเทศไทยให้พวกเราได้ลิ้มลองความสดอร่อยโดยไม่ต้องบินไปไกลถึงญี่ปุ่น
สาขากรุงเทพนี้ตั้งอยู่ที่โรงแรม Grand Hyatt Erawan ตัวร้านเป็นตกแต่งด้วยไม้ไผ่แบบญี่ปุ่นเห็นเป็นเอกลักษณ์มาแต่ไกล
ด้วยความโด่งดังของทางร้านคิวจึงค่อนข้างแน่น ส่วนใหญ่ลูกค้าจะโทรมาจองกันล่วงหน้า
ใครจะตามรอยไปชิมแนะนำให้โทรไปจองก่อนประมาณหนึ่งสัปดาห์ค่ะ
ร้าน Ginza Sushi Ichi นั้นมีทีเด็ดที่นำวัตถุดิบคุณภาพสูงส่งตรงมาจากตลาด Tsukiji วันต่อวัน ดังนั้นจึงรับประกันได้ถึงความสด
นอกจากนี้ปลาที่คัดสรรมาก็มักจะมีปลาแปลกๆ ที่หาทานยากมาให้เราได้ลองชิมกันอีกด้วย
แต่ที่ขาดไม่ได้ก็คือเชฟสุดยอดฝีมือที่ทางร้านภูมิใจนำเสนอ เชฟที่นี่ฝีมือดีมาก และด้วยความที่เรานั่งกันที่ sushi bar เราก็จะได้สังเกตการทำงานของเชฟอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นการลอกหนังปลาที่เชฟลอกกันด้วยมือเปล่าไม่ต้องใช้มีด การแล่บางเฉียบหรือการบากแบบต่างๆ เพื่อเสริมรสสัมผัสให้แก่ปลาแต่ละชนิด ตลอดจนฝีมือการปั้นที่สามารถปั้นไข่หอยเม่นบนข้าวได้โดยไม่ต้องใช้สาหร่ายห่อ และหลายๆ คำเชฟจะส่งให้จากมือถึงมือเพื่อให้ทานทันที เรียกว่าได้บรรยากาศญี่ปุ่นแท้ๆ เลยทีเดียว
สำหรับราคา หลายๆ คนคงได้ยินถึงกิตติศัพท์มากันบ้างแล้ว ถ้าเป็นมื้อกลางวันราคาจะย่อมเยาหน่อยโดยมีให้เลือกตั้งแต่ 1300, 2000, 3000 ไปจนถึง4000 บาท ซึ่งราคานี้ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและค่าบริการ
ถ้าใครมาตอนกลางวันแนะนำให้สั่งเป็นชุด Omakase (Chef’s Choice) ที่ราคา 4000++ บาท ซึ่งชุดนี้เสิร์ฟทั้งซูชิและซาชิมิรวมของเรียกน้ำย่อยและของหวานแล้วก็เกือบจะยี่สิบรายการ
ของเรียกน้ำย่อยมักจะเป็นจานเบาๆ เช่นเมนูมะเขือม่วงดิบเสิร์ฟพร้อมมิโซะวาซาบิทำออกมารสชาติหอมหวานเหมือนผลไม้แถมให้รสสัมผัสที่นุ่มอย่างไม่น่าเชื่อ
ต่อมาเป็นซาชิมิสองรายการแต่ละรายการจะเสิร์ฟสองชิ้นเพื่อให้ทานชิ้นหนึ่งกับเกลือและมะนาวส่วนอีกชิ้นทานกับโชยุและวาซาบิ
จะมีปลาย่างหรือปลารมควันอีกสองเมนู ซูชิอีกเจ็ดคำ ซุปมิโซ ข้าวหน้าไข่หอยเม่นและไข่ปลาแซลมอนอีกหนึ่งชาม Maki หรือข้าวห่อสาหร่ายอีกหนึ่ง แล้วจึงเป็นของหวานค่ะ เรียกได้ว่าใกล้เคียงกับชุด 7000 บาทของมื้อเย็นมากๆ ด้วยราคาเพียง 4000 บาทเท่านั้น
ส่วนมื้อเย็นนั้นราคาจะอยู่ที่ 4000, 5000, 7000 ไปจนถึง 10000 บาทเชียวค่ะ
โดยสอบถามได้ความว่าชุด 10000 บาทนั้นจะมีเฉพาะช่วงที่เชฟใหญ่บินมาคุมเองจากญี่ปุ่น สำหรับผู้ที่สนใจสามารถลงชื่อใน waitlist เพื่อสำรองที่นั่งในช่วงที่เชฟใหญ่บินมาได้ค่ะ
ชุดที่เราจะมารีวิวกันอย่างละเอียดในวันนี้เป็นชุด Omakase Nigiri (Chef’s Choice Sushi) 5000++ บาท ค่ะ
พร้อมแล้วตามไปชิมกันเลยค่า
เริ่มต้นกันด้วย Appetizer 3 อย่างค่ะ
วันนี้เสิร์ฟเป็น ลูกพลับเต้าหู้บด หอยสังข์อบสาเก และกุ้งหวาน เชฟจัดจานมาประณีตงดงามมาก
หอยสังข์และกุ้งก็อร่อยสดหวาน
เริ่มต้นได้อย่างดีทำให้เราแทบจะอดใจรอจานต่อไปกันไม่ไหวเลย
ระหว่างที่รอรายการถัดไปทางเชฟก็จะจัดเครื่องเคียงรอค่ะ
ซึ่งก็จะมีไช้เท้าหั่นฝอย สาหร่ายญี่ปุ่น ขิงดอง มะนาวผ่าซีก และวาซาบิขูดสดที่เชฟขูดให้ดูตรงหน้ากลิ่นหอม เผ็ดซ่าๆ แถมมีรสออกออกหวานนิดๆ
แค่วาซาบิดีก็มีชัยไปกว่าครึ่งจริงๆ ค่ะ ชิมแล้วจะรู้สึกถึงความแตกต่างกับวาซาบิทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด
สำหรับชุด 7000 บาทจังหวะนี้จะมีปลาย่างด้วย
เป็นปลา Buri บ้าง
ปลาดาบ (Tachiuo – Scabbard Fish) บ้าง
หรือปลารมควันอย่างปลาคัทซึโอะ (Katsuo – Skipjack Tuna) ที่เสิร์ฟมาพร้อมกับต้นหอมซอยและซอสพอนสึรสอมเปรี้ยว
งานนี้เราแอบถ่ายจานของเพื่อนข้างๆ ที่สั่งชุด 7000 บาทมาค่ะ
รอไม่นานซูชิของเราก็มา
จานแรกเป็น ปลากระพง (Tai – Seabream) เนื้อนุ่มหนึบกำลังดีสดมากจนรู้สึกได้
ต่อด้วย ปลากะพงสีชมพู (Nodoguro – Blackthroat Seaperch) อีกหนึ่งในปลาหายากจากญี่ปุ่น
จานนี้ประทับใจสุดๆ รสสัมผัสนุ่มนวลจนคนทานแทบละลายตาม
ตามมาติดๆ คือ ปลาหมึก (Ika – Squid) เนื้อหนานุ่มเคี้ยวเพลินเข้ากันได้ดีกับรสเปรี้ยวและรสเค็มของยุซุและเกลือหินที่เชฟขูดมาโรยให้
แม้จะเป็นเมนูธรรมดาๆ อย่างปลาหมึกแต่ที่นี่กลับทำได้อร่อยจนน่าตกใจ
ถัดมาเป็นส่วน เนื้อแดงของทูน่าหมักโชยุสูตรพิเศษ (Maguro Zuke – Marinated Tuna)
ของที่นี่หมักได้รสลุ่มลึกมากทีเดียว
อีกหนึ่งพระเอกของมื้อก็คือส่วน ท้องของปลาทูน่า (Otoro – Fatty Tuna Belly) เนื้อนั้นแทรกมันนุ่มละลายในปาก ฟินสุดๆ
และเชฟก็ยังทำให้เราตื่นเต้นได้เรื่อยๆ
เพราะจานถัดมาเป็น ปลาหน้าวัวที่โปะด้านบนมาด้วยตับปลา (Kawahagi – Thread-sail Filefish with its liver)
ตับนั้นเพิ่มความมันและเสริมรสชาติกับเนื้อปลาเป็นอย่างดี เมนูนี้หาไม่ง่าย ไม่ได้มีตามร้านซูชิทั่วไป แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นร้านที่ไม่ธรรมดา ร้าน Ginza Sushi Ichi จึงมีมาให้เราได้ลิ้มลอง
อย่างปลาทูญี่ปุ่นของที่นี่ก็ไม่ใช่ปลาอาจิธรรมดาแต่เป็น ชิมาอาจิ (Shima Aji – Striped Horse Mackerel) ที่จะมันและรสเข้มข้นกว่าปลาอาจิเฉยๆ
พุดถึงปลาหายากก็คงต้องเอ่ยถึงเมนูพิเศษในแต่ละวันของทางร้านกันเสียหน่อย
ทางร้านมักจะมีปลาพิเศษซึ่งราคาจะคิดตามราคาตลาดอันแน่นอนว่าราคาจะสูงพอควร
เช่นไข่หอยเม่นเกรดพิเศษที่ต้องประมูลมา ราคาจะอยู่ที่คำละ 800 บาท
หรืออย่างวันนี้ทางร้านนั้นมี ปลาแซลมอนที่ยังไม่โตเต็มวัย (Keiji – Infant Salmon)
ความพิเศษคือปกติแล้วแซลมอนที่โตเต็มวัยเท่านั้นที่จะว่ายทวนน้ำจากทะเลขึ้นมายังน้ำจืดเพื่อผสมพันธุ์และถูกจับได้แต่ในบางกรณีแซลมอนที่ยังไม่โตเต็มวัยที่เนื้อมีความมันสูงแต่มีรสหวานและรสสัมผัสที่อ่อนนุ่มกว่าก็ว่ายทวนน้ำมาด้วย โดยโอกาสที่จะพบแซลมอนแบบนี้นั้นมีแค่สองในหมื่นเท่านั้น จึงไม่แปลกเลยที่ทางร้านจะตั้งราคาไว้ที่ชิ้นละ 2000 บาท เพราะเป็นปลาหายากจริงๆ ทางร้านซื้อมายังต้องมี certificate มาโชว์เลยว่าเป็นปลาแซลมอนอายุน้อยนี้จริงๆ
รอบนี้เพื่อนที่มาด้วยใจป้ำสั่งมาลองชิม เราเลยถือโอกาสถ่ายรูปปลาสุดแพงคำนี้มาให้ชมกัน
ทานซูชิไปหลายคำแล้วก็มีซุปมิโซมาให้จิบคั่นรายการกันเบาๆ
ซุปมิโซ (Miso soup with Yamaimo Yam and White Sesame) ของที่นี่ก็ยังมีความพิเศษซ่อนอยู่คือจะใส่มันภูเขาและงาขาวถึงมีรสสัมผัสหนืดๆ ข้นๆ ของมันและกลิ่นหอมของงาอยู่ในซุปด้วย
ตามมาด้วย ข้าวหน้าไข่หอยเม่นและไข่ปลาแซลมอน (Uni & Ikura Don – Sea Urchin & Salmon Roe on Sushi Rice)
จานนี้นี่ถูกใจสุดๆ เพราะไข่หอยเม่นคุณภาพเยี่ยมของที่นี่หวานหอมไม่คาวเลยสักนิดเนื้อนุ่มเนียนมาคู่กับไข่ปลาแซลมอนที่ทางร้านหมักเองด้วยซอสสูตรพิเศษรสกลมกล่อมออกเค็มนิดๆ กำลังพอดีทานพร้อมข้าวซูชิอุ่นๆ กับวาซาบิขูดสดแล้วสุดแสนจะเข้ากัน
ต่อมาด้วย ซูชิกุ้งลายเสือ (Kuruma Ebi – Japanese Tiger Shrimp) ที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ เฉพาะตัว
ทานแล้วแทบจะไม่อยากทานซูชิกุ้งชนิดอื่นอีกเลยเพราะทั้งรสชาติและรสสัมผัสของกุ้งลายเสือนี่เหนือกว่ามาก
(ไม่นับ Shiro Ebi หรือซูชิกุ้งขาวที่ทานดิบๆ)
ถัดมาเป็น ไข่หวานสูตรพิเศษของร้าน (Tamago – Sweet Egg Omelet) ที่ใส่กุ้งกับมันภูเขาและมิรินผสมกันจนได้รสกลมกล่อมก่อนที่จะย่างด้วยเทคนิคพิเศษจนเนื้อแน่นเนียนราวกับพุดดิ้ง
ตามมาด้วย ปลาไหลน้ำเค็ม (Anago – Salt Water Eel)
ของที่นี่เนื้อนุ่มรสละมุนสุดๆ แบบที่ไม่เคยทานที่ไหนมาก่อน
ก่อนที่จะจบด้วย ข้าวห่อสาหร่าย (Toro Maki – Seaweed-wrapped Tuna Roll) ท้องปลาทูน่าส่วนติดมันนุ่มอร่อยสับจนเข้ากันห่อด้วยสาหร่ายหอมๆ กรอบๆ ที่เชฟม้วนส่งให้ถึงมือ
ขนมหวานปิดท้ายสไตล์ญี่ปุ่นของ Ginza Sushi Ichi มีให้เลือกสองอย่างด้วยกัน
คือ พุดดิ้งเต้าหู้ราดซอสชาเขียว (Tofu Pudding with Green Tea Sauce)
หรือ ไอศกรีมงาดำ
ชอบที่ทำออกมาไม่ค่อยหวานทั้งสองเมนู
พุดดิ้งจะออกรสละมุนๆ ตัดกับความขมของซอสชาเขียว ส่วนไอศกรีมงาดำนี่ออกรสครีมเข้มข้นถึงใจ
โดยรวมแล้วสำหรับร้านนี้ต้องยกให้เป็นร้านซูชิอันดับหนึ่งของกรุงเทพได้อย่างไม่ต้องคิด
นอกจากราคาที่ค่อนข้างแพงแล้วก็ไม่รู้จะติอะไรเพราะทำทุกอย่างมาได้ไม่มีที่ติ
โดยเฉพาะข้าวซูชิที่ทำออกมาได้รสกลมกล่อมไม่เหมือนที่ไหน
อีกทั้งการปั้นซูชิที่ปั้นออกมาคำค่อนข้างเล็ก กะสัดส่วนปลากับข้าวได้พอดีมาก
และ ปั้นความแน่นได้พอเหมาะสุดๆ แบบที่ทานเข้าไปแล้วข้าวกระจายแล้วค่อยๆละลายในปากผสานไปกับเนื้อปลา
ที่จริงแล้วถึงราคาจะดูโหดสักหน่อยแต่เมื่อคำนึงถึงคุณภาพที่เทียบเท่าไปทานที่ญี่ปุ่นระดับนี้แล้วก็ยังถือว่าคุ้มค่าให้ถือเสียว่าประหยัดค่าเครื่องบิน
แถมแต่ละรายการที่เชฟรังสรรค์ขึ้นนั้นก็ทำมาอย่างประณีตพิถีพิถัน วัตถุดิบพรีเมี่ยมของที่นี่นั้นก็สุดยอดกว่าที่อื่นๆ เรียกได้ว่าปลาสดจนทานแล้วน้ำตาแทบจะไหล ล่าสุดเพิ่งไปกินซูชิร้านดังที่ตลาด Tsukiji ที่โตเกียวมา ยืนยันเลยว่าไม่แพ้กันแน่นอน
และที่น่าทึ่งคือทุกคำที่เชฟทำมาสามารถทำให้คุณประทับใจได้เรื่อยๆ อย่างแรงไม่ตก สมกับเป็น Omakase ที่เป็นการให้เชฟปั้นแต่งเรื่องราวการเดินทางจากรสหนึ่งไปสู่อีกรสหนึ่งอย่างละเมียดละไมตามใจเชฟราวกับคีตกวีที่มีอิสระทางความคิดที่จะบรรจงประพันธ์โน้ตดนตรีให้ร้อยเรียงกันเป็นบทเพลงที่แสนจะสุนทรีย์
ใครที่หลงใหลในรสชาตินุ่มนวลแบบญี่ปุ่นแท้ๆ สไตล์ดั้งเดิม ร้านนี้จะเปิดประสบการณ์การทานซูชิให้คุณได้ดื่มด่ำไปกับรสชาติแท้ๆของตัวปลาได้อย่างน่าประทับใจแน่นอนค่ะ
จองได้ที่นี่ คลิ้กเลย!
***
อย่าลืมติดตามงานเขียนอื่นๆ ของเราได้ที่ www.foodiesjournie.com
และแวะไปพูดคุยทักทายกันได้ที่หน้าเพจ www.facebook.com/foodiesjournie ค่ะ