ทุกวันนี้ดูเหมือนว่าอาหารญี่ปุ่นต้นตำรับนั้นจะเป็นที่นิยมมากในเมืองไทย ร้านชื่อดังหลายๆ ร้านจากญี่ปุ่นได้มาเปิดสาขาพาสูตรอาหารอร่อยๆ มาให้เราได้ชิมถึงที่ แต่เป็นที่น่าแปลกใจว่าที่ขนมญี่ปุ่นแบบต้นตำรับจริงๆ กลับหาทานได้ยาก
ข้อสังเกตนี่เองที่เป็นแรงบันดาลใจให้นักธุรกิจไฟแรงสัญชาติญี่ปุ่นที่มีโอกาสได้เดินทางมาทำงานเมืองไทยบ่อยครั้งเกิดความสงสัย และเป็นที่มาของการตัดสินใจที่จะมาลงทุนเปิดกิจการขนมโอบันยากิฉบับญี่ปุ่นแท้ๆ ในเมืองไทยโดยใช้ชื่อร้านว่า ดาดายะ (Dadaya) ซึ่งมาจากพยางค์แรกของชื่อของชายหนุ่มสามสหายเจ้าของร้านนั่นเอง
โอบันยากิของร้านดาดายะนี้เป็นสูตรเก่าแก่ของญี่ปุ่นที่ทางร้านเลือกสรรมาอย่างดี หลายๆ คนอาจคุ้นเคยกับโอบันยากิไส้ถั่วแดง แต่จริงๆ แล้วโอบันยากิก็มีสูตรที่เป็นอาหารคาวบ้างเหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะหาได้ค่อนข้างยากแม้แต่ในญี่ปุ่นเอง
ร้านดาดายะเล็งเห็นจุดนี้จึงได้ดึงเอาเมนู โอบันยากิไส้อาหาร (Obanyaki meal) หลายๆ ชนิดมาไว้ในเมนู ในสนนราคาชิ้นละ 40 บาท
อย่าง โอบันยากิไส้คัทเลทส์ไก่ (Chicken cutlets) ที่มีไส้เป็นไก่ชุบแป้งทอดชิ้นหนากรอบนอกนุ่มในราดด้วยมายองเนสญี่ปุ่นและซอสญี่ปุ่นรสชาติเข้มข้น เมนูนี้เป็นเมนูที่ถ้าได้ลิ้มลองแล้วจะต้องติดใจกันทุกคน
เจ้าของร้านได้พูดคุยกับเราว่าเขาอยากให้โอบันยากิไส้อาหารเป็นอีกทางเลือกของคน ทำงานสำหรับอาหารเช้าหรือมื้อว่างที่สามารถสั่งแล้วถือไปทานเลยได้ในชั่วโมงเร่งด่วน ส่วนตัวคิดว่าด้วยรสชาติที่กลมกล่อมและสนนราคาที่ไม่แพงนักเราอาจจะเห็นคนเริ่มสนใจทานโอบันยากิไส้คัทเลทส์ไก่กันแทนแซนวิชกันก็เป็นได้ นอกจากไส้คัทเลทส์ไก่แล้วก็ยังมี โอบันยากิไส้ทูน่า (Tuna Salad) ที่อัดแน่นไปด้วยทูน่าและหัวหอม และ
โอบันยากิไส้กราแตง (Gratin) ที่มีทั้งเนื้อไก่ เห็ด หัวหอม ผักขม และซอสขาว เป็นส่วนผสม สองเมนูนี้อาจไม่ค่อยคุ้นเคยกันเท่าไร และรสชาติอาจจะยังไม่ถูกปากคนไทยมากนัก ซึ่งทางร้านก็ยังจะมีการปรับปรุงพัฒนาสูตรอยู่เรื่อยๆ จนกว่าจะลงตัวได้เป็นที่พอใจ
อีกหนึ่งเมนูที่น่าจะมาแรงก็คือ ดาดายากิไส้พิซซ่าญี่ปุ่น (Dadayaki)
เมนูนี้ทำออกมาคล้ายคลึงกับโอโคโนมิยากิหรือพิซซ่าญี่ปุ่นที่หลายๆ คนคงรู้จักกันดีโดยจะใส่กะหล่ำปลีและราดซอสญี่ปุ่นและมายองเนสด้านบน จานนี้ส่วนตัวชอบมาก รสชาติเข้มข้นกำลังพอเหมาะ กะหล่ำปลีสุกนิ่มกำลังดี เป็นอีกเมนูที่ด้วยปริมาณแล้วแก้หิวได้ชะงัดดีนักเชียว
ชิมโอบันยากิไส้อาหารกันแล้วก็มาต่อกันที่โอบันยากิไส้หวานกันบ้าง ทางร้านมีไส้หวานให้เลือกทั้งหมดถึงห้าชนิดด้วยกัน คือ ไส้ถั่วแดง (Red Beans) ไส้คัสตาร์ด (Custard) ไส้ช็อกโกแลต (Choco) ไส้ชาเขียว (Macha) และ ไส้เผือก (Taro) โดยราคาไส้หวานอยู่ที่ชิ้นละ 30 บาท
ถั่วแดงของที่นี่นั้นนำเข้าจากญี่ปุ่นเป็นสูตรของญี่ปุ่นแท้จากร้านที่ผลิตมายาวนานกว่า 100 ปี รสจะหวานน้อยและเนื้อไม่ละเอียดมากเคี้ยวไปจะยังคงได้รสสัมผัสของเม็ดถั่วแดงอยู่
ไส้คัสตาร์ดหอมอร่อยหวานน้อยกำลังพอดีอีกเช่นกัน ส่วนไส้เผือกจะเนื้อเนียนส่วนตัวคิดว่าหวานไปนิดแต่ไม่แน่อาจถูกปากหวานพอดีสำหรับอีกหลายๆคนก็เป็นได้
ไส้ช็อกโกแลตรสจะเข้มข้นจะไม่หนึบแต่ออกแนวเยิ้มๆ หน่อย ไส้ชาเขียวใช้ชาเขียวซายาม่าที่ปลูกในเขตจังหวัดไซตามะรสออกกลมๆ ไม่ค่อยมีรสชาตินักถือว่าหวานน้อยไปนิดสำหรับรสนิยมคนไทย
ที่พิเศษยิ่งขึ้นก็คือ สำหรับผู้ที่นิยมชมชอบชาเขียว ทางร้านก็มี โอบันยากิที่ตัวแป้งผสมชาเขียว (Macha batter) ให้เลือกถึงสองไส้ด้วยกันคือ ไส้ถั่วแดง (Red Beans) และ ไส้คัสตาร์ด (Custard) ซึ่งราคาโอบันยากิที่ใช้แป้งรสชาเขียวจะอยู่ที่ชิ้นละ 40 บาท ซึ่งแสนจะคุ้มเพราะแป้งรสชาเขียวนั้นพอทานกับไส้ถั่วแดงและไส้คัสตาร์ดแล้วเข้ากันสุดๆ ไปเลยจริงๆ
กินขนมกันจนคอแห้งก็ต้องสั่งน้ำมาแก้ฝืดคอกันหน่อย ที่นี่มีชาเขียวลาเต้รสเข้มข้นเสิร์ฟให้จิบเย็นใจ ในราคาแก้วละ 50 บาท (ถ้าซื้อพร้อมกับขนมโอบันยากิ ราคาแก้วละ 40 บาท) ตัวนมใช้นมสด ส่วนชาเขียวนั้นใช้ผงชาเขียวอย่างดี ถึงจะออกรสขมหน่อยแต่พอใส่นมแล้วก็เข้ากัน
เจ้าของร้านเล่าว่าขนมโอบันยากินั้นชาวญี่ปุ่นชอบทานคู่กับน้ำชา ทางร้านจึงมีรายการน้ำชาให้เลือกถึงห้าชนิดด้วยกัน ในราคาแก้วละ 25 บาท (ถ้าซื้อพร้อมกับขนมโอบันยากิ ราคาแก้วละ 15 บาท) ทั้ง ชามูกิหรือ ชาข้าวบาร์เลย์ (Mugi-cha) ชาเซนฉะ (Sen-cha) ชาเก็นไม (Genmai-cha) ชาอูหลง (Oolong-cha) และ โฮจิฉะ (Hoji-cha) ซึ่งปกติคนญี่ปุ่นจะทานชาไม่เติมน้ำตาล แต่เพื่อปรับให้เข้ากับคนไทย ทางร้านจะมีน้ำเชื่อมให้เลือกเติมเองตามความชอบ
ช่วงนี้หน้าร้อน หลายๆ คนก็คงนึกอยากหาอะไรเย็นๆ ทานกันดับร้อน ทางดาดายะเองก็มีเมนูน้ำแข็งไส (Shaved Ice) สไตล์ญี่ปุ่นถึงสามเมนูมาให้ลิ้มลองค่ะ โดยราคาอยู่ที่ถ้วยละ 40 บาทเช่นกัน
ฉบับญี่ปุ่นเลยก็จะเป็น น้ำแข็งไสชาเขียว (Matcha) ที่โปะถั่วแดง ราดนมข้นหวานมาอย่างจุใจ แถมยังมี Rice cake หนึบๆ อีกสองสามก้อนให้ทานด้วยกัน
ออกแนวฝรั่งนิดๆ ก็จะเป็น เมนูน้ำแข็งไสสตรอเบอร์รี่ (Strawberry) ที่ราดซอสสตอเบอร์รี่พร้อมทั้งโปะสตรอเบอร์รี่เชื่อมลูกโตๆ เพิ่มมาด้วย และสุดท้าย
เมนูแนว tropical เหมาะกับเมืองร้อนอย่างเมืองไทยก็ต้องนี่เลย น้ำแข็งไสมะม่วง (Mango) ที่นอกจากจะราดซอสมะม่วงรสอมเปรี้ยวอมหวานแล้วก็ยังมีมะม่วงน้ำดอกไม้หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ วางรอบให้ทานคู่กัน
ชิมครบทุกเมนูกันแล้วก็ต้องบอกว่า ร้านนี้ไม่ธรรมดาเลยทีเดียวกับความตั้งอกตั้งใจที่จะนำขนมพื้นเมืองญี่ปุ่นอย่างโอบันยากิที่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักมาเผยแพร่ให้เป็นที่นิยมแพร่หลายในเมืองไทย และถึงตอนนี้ดาดายะจะมีเพียงสาขาเดียว แต่ทางเจ้าของก็มีความตั้งใจจะขยายสาขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้เราได้ลองลิ้มชิมรสขนมโอบันยากินี้กันอย่างทั่วถึง สำหรับใครที่ผ่านไปผ่านมาแถวอนุสาวรีย์ก็อย่าลืมแวะเข้าไปอุดหนุนขนมโอบันยากิของดาดายะกัน หรือจะซื้อติดไม้ติดมือไปฝากเพื่อนฝูงทางร้านก็มีถุงและกล่องลวดลายญี่ปุ่นหน้าตาน่ารักให้หิ้วกลับไปได้อย่างสบายใจค่ะ