Meat Bar 31 สุดยอดสเต็กเนื้อชั้นดีกับอีกหลายเมนูเด็ดเอาใจ meat lovers

สำหรับคนชอบทานเนื้อแล้ว ไม่มีความสุขใดจะมากไปกว่าการได้ทานเนื้อชิ้นโตที่ย่างมาจนได้ระดับความสุขที่พอดี เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ ปรุงรสได้พอเหมาะพอเจาะ แถมถ้าได้จิบเบียร์สักนิดหรือจิบไวน์แดงสักหน่อยในบรรยากาศสบายๆ ที่ให้คุณได้สังสรรค์กับเพื่อพ้องอย่างเป็นกันเองก็จะยิ่งฟินเว่อร์

9

และวันนี้เราได้ค้นพบสถานที่ที่ตอบโจทย์เหล่านี้ทั้งหมดให้คุณได้ จึงรีบนำมาเล่าให้ฟังเผื่อใครอยากจะตามไปดื่มด่ำกับบรรยากาศและสเต็กเนื้อรสเลิศในราคาที่เข้าถึงได้ค่ะ

Meat Bar 31-8

Meat Bar 31 ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 31 ตรง El Patio ค่ะ การเดินทางคงต้องใช้รถเป็นหลัก แต่ก็มีที่จอดให้พร้อมสรรพ

1

เมื่อเข้าไปถึงก็จะพบกับบรรยากาศทันสมัย ดูเรียบหรูด้วยโทนขาวดำ แต่ก็แฝงความอบอุ่นน่าสบายภายใต้สีน้ำตาลเข้มของต้นไม้ที่ใช้ประดับประดาและตัวผนังกั้น ทางร้านเองเพิ่งเปิดได้ไม่กี่เดือนแต่ก็ดูเหมือนเริ่มมีลูกค้าขาประจำอยู่แล้วไม่น้อย ใครที่ได้มากินแล้วติดใจก็มักจะแวะเวียนพาพรรคพวกเพื่อนฝูงมาลองชิม

meatbar

เมนูของทางร้านเรียบง่ายมีเพียงสองหน้าแต่ก็แฝงไว้ด้วยไอเดียเก๋ไก๋อีกหลายอย่างที่เรียกร้องให้คุณหยุดมอง ไม่ว่าจะเป็นการใช้เสาวรสเป็นน้ำสลัด การใส่ไข่ออนเซ็นลงในสลัดซีซาร์ หรือการนำเมนูเนื้อดิบอย่าง Beef Tartare และ Beef Carpaccio รวมไปถึง Bone Marrow หรือไขกระดูกวัว มาไว้ในเมนู

ในส่วนของเนื้อนั้นหายห่วง ด้วยความที่ทางร้านตั้งตัวเป็น Meat Bar แน่นอนว่าจะต้องมีเนื้อมากมายหลายชนิดจากหลายแหล่งและจากหลายส่วนของวัวมาให้เลือกสรร ไม่ว่าจะเป็น Thai Wagyu ในราคาย่อมเยา (650B) Australian Beef สามแบบสามสไตล์ เนื้อ US (USDA Prime Beef from St. Helen’s, Washington) และ เอาใจสาวกเนื้อวากิวด้วย Japanese Wagyu Beef จาก Hokkaido, Miyasaki และ Kagoshima ที่มีลายหินอ่อนหรือ marbling score อยู่ที่ 4-5 ไปจนถึง 7-8 งานนี้เชื่อได้ว่าต้องนุ่มละลายโดนใจ ในส่วนของเมนูเนื้อ ทางร้านมีใส่ดาวของ Taste กับ Tenderness ให้คะแนนไว้เพื่อช่วยลูกค้าในการตัดสินใจด้วย

menu 2

เรามีโอกาสได้คุยกับเชฟ จึงได้ทราบว่า เชฟอยากจะให้คนกรุงเทพได้มีโอกาสทานเนื้อดีๆ โดยไม่ต้องแต่งตัวใส่สูทผูกไทด์ไปนั่งเกร็งอยู่ตามร้านโรงแรมหรูกับเมนูแพงๆ เชฟเลยจัดร้านเน้นบรรยากาศให้ cozy น่านั่งและที่สำคัญคือยอมตั้งราคาต่ำลงมา เลยเป็นการนำวัตถุดิบชั้นดีระดับพรีเมียมมาขายในราคากันเองสุดๆ แบบที่ให้ผู้คนเข้าถึงเนื้อเกรดสูงๆ ได้ในวงกว้างขึ้น

ตื่นตากับเมนูแล้วก็ได้เวลาสั่งอาหาร สำหรับเครื่องดื่มนั้น หลายๆ โต๊ะรอบข้างเราเหมือนจะสั่งเป็นไวน์กันซึ่งที่ร้านก็ดูจะมีไวน์หลากหลายชนิดไว้บริการ เน้นหนักไปทางไวน์ดังจากฝรั่งเศสที่เรามักจะรู้จักกันดี แต่เราอยากลองเป็นเมนูอื่นๆ บ้างเลยจัดการสั่งเป็นเบียร์ ซึ่งเสิร์ฟมาในแก้วสุดแนว

รวมถึงค็อกเทลอีกสองชนิดคือ Smashy Strawberry Fizz (280B) ที่ให้ตัวสตรอเบอร์รี่สดมาในแก้วเยอะสุดๆ ถูกใจสาวๆ

4

และ Passion Fruit Old Town (260B) ที่ให้รสเปรี้ยวสดชื่น เพิ่มความหอมด้วยน้ำผึ้งและอบเชย

3

 

ไม่นานอาหารก็ทยอยมาเสิร์ฟ เราชอบตั้งแต่เมนูแรกเลยค่ะ

Smoked Duck Breast Salad, Fig and Almond with Passion Fruit Dressing (380B)

2

จานนี้เป็นเป็ดรมควันเนื้อนุ่มรสออกหวาน ทานกับผักสลัดหลากหลาย แต่งรสให้พิเศษกับมะเดื่อสดที่หั่นแว่นมาเป็นชิ้นๆ เพิ่มรสสัมผัสกรุบกรอบไปกับอัลมอนด์ และสดชื่นสุขภาพดีไปกับน้ำสลัดเสาวรสที่ออกเปรี้ยวนิดๆ กำลังดี เป็นน้ำสลัดแบบใสที่คุณไม่ต้องกังวลกับไขมัน

Classic Caesar Salad with 63C Onsen Egg (280B)

Meat Bar 31-14

อันนี้เพิ่มไขมันขึ้นมาหน่อยด้วยน้ำสลัดซีซาร์เข้มข้นตามแบบฉบับคลาสสิก เพิ่มความหอมมันด้วยไข่ออนเซ็นที่ทางร้านแนะนำให้คลุกลงไปกับสลัดเลย ทานกับ crouton และ เบคอนกรอบๆ ด้านบน และชีสพาเมซานขูดเป็นเส้น สุดแสนจะเข้ากัน

ต่อกันด้วย Beef Tartare with Caviar and Egg Yolk (380B)

Meat Bar 31-41

อันนี้มาสไตล์คล้ายคลึงกันคือมีไข่มาให้คลุกกับตัวเนื้อทาร์ทาร์ จานนี้ออกรสอมเปรี้ยวของ pickles นำ ตามด้วยรสเค็มนิดๆ ของคาเวียร์

Meat Bar 31-50

อย่างที่เกริ่นไป อาหารเรียกน้ำย่อยที่นี่มีหลายอย่างน่าทานไปหมดจนเลือกไม่ถูก เราเลยสั่งมาลองเสียเกือบครบ

Meat plate (6 cured meats – Beef Pastrami, Wagyu Sausage, Pancetta, Smoked Duck Breast and Cured Beef Loin; 500B) จานเนื้อถาดโตนี้เราก็ไม่พลาด เนื้อทุกแบบรสชาติเข้มข้น

Meat Bar 31-65

Home-made Liver Pate, Balsamic Jelly served with White Toast (300B) ก็เป็นอีกเมนูหนึ่งที่เราได้ชิม

Meat Bar 31-61

ตัว Pate ของที่นี่เค้าทำเอง รสสัมผัสจะออกหยาบหน่อยๆ ไม่ได้นุ่มนวลเป็นมูสเหมือนที่อื่นๆ ทานกับบัลซามิกเยลลี่รสเปรี้ยวตัดกันแก้เลี่ยนได้อย่างชะงัด ทานกับขนมปัง และ แตงกวาดองตามสูตร

ตามมาด้วยหนึ่งในไฮไลท์ที่พีคมากๆ ของวันนี้คือเมนู Roasted Bone Marrow served with Garlic Toast (350B) ที่พอวางจานลงมาเราถึงกับต้องอ้าปากค้าง

Meat Bar 31-102

ทานเมนูไขกระดูกวัวมาก็หลายที่ ไขกระดูกวัวที่นี่บอกเลยว่าเป็นไขกระดูกวัวที่ใหญ่ที่สุดที่เคยทาน

5

ใหญ่ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความยาว เพราะเคยเจอที่ยาวกว่านี้ แต่หมายถึงความลึก เพราะส่วนของกระดูกที่ตัดมานั้นมีความหนาเรียกว่าปักช้อนลงไปควักไขกระดูกออกมาได้ชิ้นใหญ่มันเน้นๆ

7

จานนี้ไม่เหมาะกับคนดูแลรูปร่าง ต้องใจถึงอย่างเราเท่านั้น เพราะเอาจริงๆ ก็เหมือนทานไขมันล้วนๆ

ที่นี่ปรุงรสมาได้พอดีมากในส่วนของเกลือและพริกไทย อบมาได้บนกรอบ ล่างนุ่มและอุ่น ทานกับขนมปังนี่ฟินแล้วฟินอีก

เผอิญขนมปังที่มาเคียงกันดันเป็นขนมปังกระเทียมชุ่มเนยเลยรู้สึกถึงความมันอัน overload แต่พอสลับไปทานกับขนมปังขาวของอีกจาน ออกมาพอดีสุดๆ อันนี้อร่อยแบบบรรยายได้หลายหน้ากระดาษจริงๆ ปลื้ม

 

เห็นแค่จานเรียกน้ำย่อยก็ซัดกันไปหลายรายการแต่ยังไม่หมดแค่นี้ ถ้ามาที่ร้านแล้วไม่สั่งจานนี้จะหาว่าเรามาไม่ถึง

Lobster Macaroni & Cheese (420B) นั้นเป็นเมนูเด็ดที่กลายเป็นซิกเนเจอร์ของร้านไปเสียแล้วเพราะทำออกมาน่าทานจนใครๆ ก็ต้องแชะ & แชร์

Meat Bar 31-83

ก้ามล็อบสเตอร์ทั้งก้าม เนื้อพูนๆ ที่มากับมักกะโรนี่ชีสที่ยืดเยิ้มถึงใจ เป็นใครก็ต้องหลงรัก

6

มาถึงจุดนี้ก็เริ่มจะอิ่มเล็กๆ แต่ก็ยังสู้ต่อไปเพราะยังไปไม่ถึงจานเนื้อกันเลย

เรายังมี Half Maine Lobster Thermidor seved with Truffle Black Pasta (750B)

Meat Bar 31-111

ล็อบสเตอร์ตัวโตมากับซอสครีมเห็ด ทานล็อบสเตอร์ไป ใจก็ประหวัดไปถึงเนื้อสเต็ก

ไม่ได้นะต้องเหลือพื้นที่ในกระเพาะไว้ เพราะยังไงๆ ร้านนี้ก็เป็นร้านเนื้อ มาแล้วก็ต้องชิมให้รู้กันไป

 

ในที่สุดพระเอกของงานของเราก็มา

Australian Grain-Fed, bone-in Tomahawk Cut, 1000g (2,950B)

Meat Bar 31-156

เนื้อสเต็กโทมาฮอว์กร้อนๆ ที่เพิ่งออกมาจาก Lava Grill ของทางร้านที่ใช้หินลาวาซึ่งมีความจุความร้อนมากกว่าถ่านทั่วๆไป ทำให้เตาร้อนระอุ เนื้อออกมาผิวนอกกรอบนิดๆ ด้านในชุ่มฉ่ำ เราสั่งแบบมีเดียมก็ได้ออกมาสีชมพูสวย

8

ตัวเนื้อจะนุ่มคนละแบบกับพวกวากิวที่จะละลาย โทมาฮอว์กของที่นี่จะนุ่มแต่มีความหนืบเคี้ยวเพลิน รู้สึกได้ถึงความฉ่ำและรสชาติที่ยังอยู่ในตัวเนื้อ

9

จานนี้พิสูจน์ความเป็นร้านเนื้อที่น่าจะก้าวขึ้นมาเป็นร้านสเต็กอันดับต้นๆ ในดวงใจของหลายๆ คนในเร็ววัน สมกับที่รอคอยเป็นที่สุด

สเต็กของที่นี่จะเสิร์ฟมากับ Sea salt, radish, mustard & whole grain mustard และมี Truffle butter กลิ่นหอมมาให้ทานคู่กัน

สำหรับซอส เราชิมซอสพริกไทยที่ตัวน้ำเกรวี่นั้นเข้มข้น มีเม็ดพริกไทยอยู่เพียบ ใครชอบทานเนื้อกับพริกไทยอันนี้ใช่เลย

มีสเต็กแล้วก็ต้องมี side dish มาให้ทานคู่ ตัว Spinach & Bacon (100B) นั้นมีชีสมาด้านบนด้วย ชีสชนกับเบคอนเลยออกเค็มเกินไปหน่อยไม่ค่อยถูกใจ แต่ได้ใจคืนไปที่ Onion Ring (90B) ที่ทำมาได้กรอบนอกนุ่มในแถมซอสทาร์ทาร์ที่มาคู่กันก็หอมๆ ครีมมี่ๆ พอดีลงตัว อีกสองอย่างคือ Steamed Asparagus (100B) และ Buttered Baby Carrot (100B) แอสพารากัสกองโตที่ให้มาแบบไม่หวง กับแครอทหัวเล็กน่ารักที่อาบเนยมาจนชุ่ม ก็เป็นอะไรที่ดีงามตามท้องเรื่อง

Meat Bar 31-127

อิ่มกันสุดๆ แต่ความตะกละก็ยังชนะอยู่เพราะเหลือบไปเห็นขนมหวานน่าทานอย่าง Yoghurt Panna Cotta (280B) และ Double Chocolate Brownie with Marshmellow cream (280B) ก็อดใจไม่ไหวสั่งมาอีก

Meat Bar 31-194

พานาคอตต้านุ่มๆ ของที่นี่พิเศษที่ใช้กรีกโยเกิร์ต ทานกับเยลลี่พีชหอมหวานและไอศกรีมวนิลาเย็นๆ เวิร์คมาก

Meat Bar 31-215

ช็อกโกแลตของที่นี่เป็นดาร์กช็อกที่นวลเนียนเข้มข้นละลายในปากอย่างช้าๆ ทานกับมาร์ชเมลโลหวานๆ หนืดๆ เข้ากันดี

อิ่มกันสุดๆ ทางร้านเลยมี Complementary organic tea (by request) มาบริการ

Meat Bar 31-209

วันนี้เป็น peppermint infused tea ที่คุณเจ้าของร้านคนสวยเดินมาถามด้วยตนเองว่าจะรับไหม และคะยั้นคะยอให้ลองชิมพร้อมอวดสรรพคุณว่าจะช่วยย่อย เหมาะกับการดื่มตามหลังมื้อใหญ่อย่างที่เราทานกันไป ประทับใจในการบริการและการดูแลเอาใจใส่ของที่นี่จริงๆ

โดยรวมแล้วร้านนี้เป็นร้านที่แนะนำใครๆ ได้เต็มปากเต็มคำเพราะอาหารอร่อยคิดองค์ประกอบดีไซน์เมนูไว้ได้อย่างลงตัว เนื้อคุณภาพเยี่ยมทำมาสุกพอดีและขายในราคาสมเหตุสมผลสุดๆ

เชื่อกันว่าได้อ่านแล้วใครที่เป็นคนรักเนื้อตัวจริงคงไม่ยอมพลาดแน่นอน ตามรอยมาชิมกันได้เลยค่ะ

จองได้ที่นี่ คลิ้กเลย! 

 

 

 

 

***

อย่าลืมติดตามงานเขียนอื่นๆ ของเราได้ที่ www.foodiesjournie.com

และแวะไปพูดคุยทักทายกันได้ที่หน้าเพจ www.facebook.com/foodiesjournie ค่ะ

Comments

comments