วันนี้พาทุกคนไปชิมไกลถึงเมือง Yountville มลรัฐ California ประเทศสหรัฐอเมริกากันเลยทีเดียวค่ะ
ร้าน The French Laundry เป็นร้านอาหารฝรั่งเศสของเชฟระดับตำนาน เชฟ Thomas Keller โดยทางร้านได้รับการจัดอันดับให้เป็นร้านอาหารที่อร่อยที่สุดในโลกในปี 2003 และ 2004 สองปีซ้อน จาก World’s 50 Best Restaurants และ ได้รับสามดาวมิชลินตั้งแต่ปี 2006 เป็นต้นมา
ด้วยความโด่งดังระดับโลกของร้านทำให้การจองร้านนี้ยากอยู่สักหน่อย ต้องใช้ฝีมือและความพยายามในการจองพอสมควรทีเดียว โดยทางร้านจะเปิดให้จองได้สามเดือนก่อนวันที่ต้องการจะมาทาน เราก็จะต้องนับวันกันให้พอดิบพอดี เมื่อถึงสามเดือนเป๊ะก่อนวันนัดก็ให้โทรเข้ามาจองกับทางร้านในเวลาเก้าโมงเช้าของแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นเวลาประมาณเที่ยงคืนของเมืองไทย ถ้าสายไม่ว่างก็ต้องกัดฟันอดทนกดเข้าไปใหม่เรื่อยๆ จนกว่าจะได้ ผลพวงของสกิลนิ้วไฟและความพยายามของเราก็ทำให้เราได้มาชิมร้านนี้สมใจอยากและได้มีโอกาสรีวิวร้านนี้มาฝากกันค่ะ
ร้านนี้ตั้งอยู่ใกล้กับ Napa Valley ที่ขึ้นชื่อด้านไวน์ ทิวทัศน์สองข้างทางก็จะสดสวยเขียวชอุ่มเต็มไปด้วยไร่องุ่น ใครที่ชอบดื่มไวน์แนะนำให้สั่ง wine pairing ของที่นี่ค่ะ นอกจากจะได้ชิมไวน์ชั้นเลิศแล้ว ทางร้านเองจะมีผู้เชี่ยวชาญด้านไวน์โดยเฉพาะมาให้รายละเอียดอีกทั้งวางแผนการจับคู่ไวน์จนทำให้อาหารที่อร่อยมากๆอยู่แล้วอร่อยลึกล้ำเหนือชั้นขึ้นไปอีกค่ะ
![ร้านสามดาวมิชลินชื่อดังของ Thomas Keller มีเมนูแบบเดียวคือ Tasting Menu ราคา 295$ หรือ 8,850 บาท](https://foodiesjournie.com/wp-content/uploads/2015/08/FrenchLaundry_cover-photo.jpg)
เห็นเป็นร้านระดับสามดาวมิชลินอย่างนี้บอกเลยว่าบริการไร้ที่ติสมศักดิ์ศรีจริงๆ
บริกรทุกคนสุภาพเรียบร้อยมีความรู้ด้านอาหารและไวน์เป็นอย่างดี
เวลายกจานมาเสิร์ฟก็จะมาพร้อมๆกันตามจำนวนแขกและวางจานพร้อมกันเป๊ะ แม้แต่มุมของจานก็วางมุมเดียวกัน
สอบถามได้ความว่าถึงแม้ทั้งร้านจะมีโต๊ะเพียงแต่ประมาณสิบกว่าโต๊ะ แต่มีพนักงานรวมราวๆสี่สิบคน รับรองได้ว่าบริการได้ทั่วถึง
ก่อนที่จะเริ่มอาหารในเมนู จานแรกที่ขาดไม่ได้ก็คือ Gougère ชึ่งเป็นแป้ง choux pastry ผสมกับชีส ที่นี่ใช้ชีส Gruyère (ชีสจากสวิสเซอร์แลนด์ หนึ่งในชีสที่นิยมใช้ในการทำชีสฟองดู) รสชาติขนมอบนี้เลยออกมาเป็นกลิ่นชีสเต็มๆหอมอบอวล ที่ว่าขาดไม่ได้เพราะเมนูนี้เสมือนว่าจะเป็น signature กลายๆ คือไม่ว่าจะไปร้านไหนของเชฟ Thomas Keller ก็มักจะได้ทานทุกที
![Gougère](https://foodiesjournie.com/wp-content/uploads/2015/08/FrenchLaundry_1.jpg)
เช่นเดียวกับรายการถัดมาคือ Cornets
โคนอันเล็กจิ๋วอันนี้เป็นโคนกรอบทำจากงาดำ (black sesame tuile)
สอดไส้มาด้วยครีมแซลมอน (salmon tartar, red onion crème fraîche, and chive)
โคนบางกรอบ ครีมแซลมอนรสชาตินุ่มนวล
ถ้าได้มีโอกาสไปลองร้าน Per se ร้านสามดาวมิชลินของเชฟท่านเดียวกันนี้ที่อยู่ที่นิวยอร์กก็จะมีเมนูนี้ด้วยค่ะ
![Cornets](https://foodiesjournie.com/wp-content/uploads/2015/08/FrenchLaundry_2.jpg)
รายการแรกบนเมนู OYSTERS AND PEARLS – Sabayon of Pearl Tapioca with Island Creek Oysters and White Sturgeon Caviar
เมนูนี้เป็น signature ของเชฟอีกเหมือนกัน ถ้าไป Per se ก็จะมีด้วย
OYSTERS AND PEARLS นี่สมเป็นเมนูยอดนิยมที่อยู่คู่ร้านมาหลายสิบปี
ตัวหอยนางรมนั้นสดหวาน ทานกับคาเวียร์ชั้นดีและครีมรสกลมกล่อม อร่อยจนบรรยายไม่ถูก
จานนี้เสิร์ฟมาพร้อมกับช้อนที่ทำจากเปลือกหอยด้วยเหตุผลที่ว่าช้อนเหล็กจะทำให้หอยนางรมและคาร์เวียร์เสียรสชาติ
ที่นี่เขาพิถีพิถันกันทุกรายละเอียดจริงๆค่ะ
![OYSTERS AND PEARLS](https://foodiesjournie.com/wp-content/uploads/2015/08/FrenchLaundry_3.jpg)
ถัดจากนั้นก็จะเป็นขนมปังอบใหม่ๆมาร้อนๆ จาก Bouchon Bakery ของ Thomas Keller เองที่มีสาขาอยู่ใกล้ๆกับร้านอาหารนี่เอง
ขนมปังมีทั้ง baguette, brioche, pretzel & pain au lait
เสิร์ฟพร้อมเนยชนิดพิเศษจาก Vermont
![Breads](https://foodiesjournie.com/wp-content/uploads/2015/08/FrenchLaundry_4.jpg)
พวกเราลงความเห็นตรงกันว่า brioche นั้นอร่อยที่สุด ทั้งความนุ่มฟูเค็มมันและหอมเนยที่กำลังพอดี
![Breads](https://foodiesjournie.com/wp-content/uploads/2015/08/FrenchLaundry_5.jpg)
อาหารแต่ละจานของที่นี่จะมีส่วนประกอบหลายอย่าง เน้นให้สีและรสสัมผัสมีหลากหลายมิติตัดกัน (contrast)
รายละเอียดยิบย่อยเหล่านี้พร้อมวิธีการทำบริกรจะอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด
บางทีบอกไปถึงว่าผักชนิดใดมาจากฟาร์มไหนกันเลยทีเดียว
เริ่มด้วย Sacramento Delta Asparagus (Garden Radishes, Young Fennel, Jidori Hen Egg Mousse and “Green Goddess Dressing”)
หน่อไม้ฝรั่งจานนี้มากับหัว radish หัวเล็กๆ และมูสไข่ เห็นเล็กๆเป็นหยดๆ แต่รสชาติตัวซอสนั้นละมุนละไมสุดๆ
![Sacramento Delta Asparagus](https://foodiesjournie.com/wp-content/uploads/2015/08/FrenchLaundry_6.jpg)
Sauteed Fillet of Pacific Yellowtail (Tomato confit, Kettle Garlic “Beignet”, Spanish Capers, Spicy Basil and Nicoise Olive Oil)
จานปลาสุกพอดีมีกลิ่นสมุนไพรเล็กๆ มากับโดนัทลูกเล็กที่เรียกว่า Beignet (beh/nyeh บิงเย่)
การทำปลาสุกพอดีนี่ดูเหมือนง่าย แต่เอาเข้าจริงก็มีไม่กี่ร้านที่ทำได้เพอร์เฟค
ถึงใครจะบอกว่าความเพอร์เฟคไม่มีจริงแต่ร้านนี้ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง เพราะปลามาแบบผิวนอกกรอบ เนื้อในยังนุ่มชุ่มฉ่ำไม่แห้งจนเกินไป พอดีเป๊ะๆ
![Sauteed Fillet of Pacific Yellowtail](https://foodiesjournie.com/wp-content/uploads/2015/08/FrenchLaundry_7.jpg)
ต่อด้วย Georges Bank Sea Scallop “Poelee”
(Marinated Grapes, Cutting Celery, Belgian Endive, Marcona Almonds and Brown Butter “Gastrique”)
หอยเชลล์ sear มากรอบนอกนุ่มในออกหวานด้วยองุ่นและขมเล็กๆ กับขึ้นฉ่ายและใบ Endive (ออน ดีฟ On-Deev)
![Georges Bank Sea Scallop “Poelee”](https://foodiesjournie.com/wp-content/uploads/2015/08/FrenchLaundry_8.jpg)
จาน Pied de Cochon (Poached Rhubarb, Petite Turnips, Fava Bean “Pistou”)
เป็นเนื้อหมูทำมาคล้ายไส้กรอกทานกับไช้เท้าหัวเล็กๆเข่นเคย รสขมเนิดๆของหัวไช้เท้านี่ตัดเลี่ยนได้ชะงัดนัก
![Pied de Cochon](https://foodiesjournie.com/wp-content/uploads/2015/08/FrenchLaundry_9.jpg)
ต่อด้วย Herb Roasted Elysian Fields Farm Lamb
(Oregon Cepes, Garden Carrots, Swiss Chard, and “Sauce Bordelaise”)
เนื้อแกะติดมัน เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ เสิร์ฟพร้อมแครอทแก้เลี่ยนกับ Swiss Chard ที่ออกขมหน่อยๆ อร่อยมากๆ
![Herb Roasted Elysian Fields Farm Lamb](https://foodiesjournie.com/wp-content/uploads/2015/08/FrenchLaundry_101.jpg)
สำหรับ main course นี้มี option พิเศษคือถ้าเพิ่มอีก 100$ จะได้เป็นเนื้อวากิวชั้นดี
Charcoal-Grilled Japanese Wagyu (Brisket “Pierogi”, Garden Beets, Young Onions, Watercress and “Sauce Raifort” 100$ Supplement)
เนื่องจากเดินทางกันมาไกลและของดีระดับนี้หาไม่ได้ง่ายๆ จึงต้องลองกันเสียหน่อย
จานนี้ถึงจะแพงแต่ก็ถือว่าตัดสินใจถูกเพราะเนื้อคุณภาพเยี่ยมปรุงมาเลิศรส กัดแล้วละลายในปาก
ใครถามว่ากินแล้วมันลอยได้หรือไงนี่ตอบเลยว่าไม่ถึงกับลอยได้แต่ใกล้เคียง
ความรู้สึกมันลอยๆ อยู่เหมือนกันเพราะว่าเคลิ้มมาก อิอิ
![Charcoal-Grilled Japanese Wagyu](https://foodiesjournie.com/wp-content/uploads/2015/08/FrenchLaundry_111.jpg)
ปิดด้วย “Cabot Clothbound Cheddar”
(Crispy Potato Confit, Pickled Ramps and Garden Broccoli)
มันฝรั่งลูกกลมทอดมากรอบนอกนุ่มในทานกับผักและครีมชีสหอมมัน
![Cabot Clothbound Cheddar](https://foodiesjournie.com/wp-content/uploads/2015/08/FrenchLaundry_x.jpg)
ผ่านไปหลายจานก็อิ่มเกือบจุกอยู่เหมือนกันค่ะ
ในเมนูเขียนคอร์สสุดท้ายว่า “Assortment of Desserts” (Fruit, Ice Cream, Chocolate and “Candies”)
เราก็นึกว่าจะมาจานเดียว แต่เอาเข้าจริง มากันต่อเนื่องแทบไม่ได้หายใจ ตั้งแต่ มูสผลไม้เนื้อเนียนรสอมเปรี้ยวอมหวาน
![Assortment of Desserts](https://foodiesjournie.com/wp-content/uploads/2015/08/FrenchLaundry_121.jpg)
ต่อด้วยเค้กช็อกโกแลตที่โรยมาด้วยผงพริกเผ็ดๆเล็กน้อย การใช้สมุนไพรหรือพริกในขนมหวานนั้นเป็นลูกเล่นเทรนด์ใหม่ที่กำลังมาแรง ทั้ง thyme ทั้ง basil ก็เคยเห็นใช้กันมาแล้ว
รูปนี้ต้องขออภัยจริงๆ ค่ะ ที่ร้านมืดมาก พยายามแล้วรูปก็ยังออกมาเบลอๆ ได้ประมาณนี้ล่ะค่ะ
![Chocolate Cake](https://foodiesjournie.com/wp-content/uploads/2015/08/FrenchLaundry_13.jpg)
จากนั้นก็ยังมีไอศกรีมรสละมุนไม่หวานจนเกินไปกินกับแผ่นคาราเมลกรอบอร่อยถูกใจ
![FrenchLaundryV](https://foodiesjournie.com/wp-content/uploads/2015/08/FrenchLaundryV.jpg)
จุดนี้นึกว่าของหวานน่าจะหมดแล้ว แต่ก็ยังเหลือโดนัทอีกชามโต
![Beignets](https://foodiesjournie.com/wp-content/uploads/2015/08/FrenchLaundry_B.jpg)
แถมตามมาติดๆด้วย Affogato ที่เป็นไอศกรีมราดด้วย espresso
![Affogato](https://foodiesjournie.com/wp-content/uploads/2015/08/FrenchLaundry_A.jpg)
สุดท้ายจึงค่อยเป็นมาการองและช็อกโกแลต ซึ่งช็อกโกแลตจะมาเป็นกล่องเรียงกันยี่สิบสามสิบรส และบริกรจะอธิบายทีละชิ้นแล้วจึงเลือกกัน
จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่ามีรสแปลกๆอยู่หลายรส แต่ตัวเองเลือกช็อกโกแลตไส้สาวรสเปรี้ยวๆมาทาน
![Macarons](https://foodiesjournie.com/wp-content/uploads/2015/08/FrenchLaundry_171.jpg)
และแล้วก็จบมื้อนี้อย่างอิ่มเอมเปรมปรีดิ์
ประทับใจสุดๆ ทั้งคุณภาพและการเลือกสรรผสมผสานวัตถุดิบหลายๆ อย่างในแต่ละจากจนลงตัว
ร้านนี้ก็อันดับต้นๆ ของโลกแล้ว และทำได้ดีจริงจนไม่รู้ว่าจะติอย่างไร
หลายๆ คนคงอยากทราบเรื่องสนนราคา ของที่นี่มีรายการอาหารเมนูธรรมดาและเมนูมังสะวิรัติให้เลือก โดยสองเมนูนี้ราคาอยู่ที่ 295$ เท่ากัน หรือประมาณ 8,850 บาท ค่ะ
สำหรับคนชอบดื่มไวน์ ก็สามารถสั่ง wine pairing โดยเพิ่มอีก 250$ หรือ 7,500 บาท
หรือจะสั่งเป็นแก้วก็ได้โดยเรียก sommelier มาช่วยแนะนำไวน์ให้เข้ากับอาหาร โดยตกแก้วละประมาณ 25$-75$ แล้วแต่ชนิดเลยค่ะ
แถมวันที่เราไป ทางร้านมีเนื้อวากิวเป็นเมนูพิเศษซึ่งสั่งได้โดยเพิ่มเงินอีก 100$ หรือประมาณ 3,000 บาทต่อจานอีกด้วยค่ะ
แต่…แค่นั้นยังไม่พอราคาทั้งหมดนี้ยังต้องบวกภาษี 8% ของรัฐแคลิฟอร์เนียเข้าไปอีก
ถือว่าราคาแพงมากจริงๆค่ะมื้อนี้แต่ก็เป็นการซื้อประสบการณ์ชีวิตว่าครั้งหนึ่งเคยได้มากินร้าน French Laundry ที่มีดีกรีสามดาวมิชลินกับเขา
ส่วนตัวนั้นไปกับครอบครัวด้วยก็เลยอยากให้คุณพ่อคุณแม่ได้ลองทานเพราะไม่ได้บินมาอเมริกากันบ่อยๆ
งานนี้ทั้งฟิตสู้จอง ทั้งลงทุนไปพักอยู่แถว Napa Valley เพราะเมืองเล็กๆเมืองนี้ห่างจากซานฟรานซิสโกพอสมควรค่ะ เรียกว่าต้องตั้งใจไปจริงๆ
ก่อนกลับบริกรยังวิ่งตามมามอบเมนูที่มีลายเซ็นของ Thomas Keller ให้ บอกว่าเห็นเราซักถามนู่นนี่ท่าทางจะเป็น Foodie และน่าจะอยากได้เมนูพร้อมลายเซ็น เราจึงได้แฟ้มอันใหญ่กลับมาเป็นของที่ระลึก ในแฟ้มยังมีสมุดรายละเอียดฟาร์มต่างๆที่ส่งวัตถุดิบให้ทางร้านอีกด้วย
การไปชิมครั้งนี้สำหรับตัวเองแล้ว เป็นหนึ่งในความประทับใจที่จะไม่มีวันลืมเลือนอย่างแน่นอน