วัตถุดิบสดจากฟาร์ม ส่งถึงโต๊ะคุณด้วยใจ @ Cocotte Farm Roast & Winery

 

สวัสดีค่ะ

วันนี้เราจะพาทุกท่านไปลิ้มลองร้าน  Cocotte Farm Roast & Winery กันค่ะ

Cocotte เป็นร้านอาหารแนว Slow Food ที่เน้นเรื่องการคัดสรรวัตถุดิบ ที่นอกจากจะเฟ้นหาที่คุณภาพดีเยี่ยมเท่านั้น ยังพยายามที่จะใช้วัตถุดิบท้องถิ่นโดยเชฟได้เดินทางไปทั่วประเทศไทยเพื่อนำผลผลิตเกษตรกรไทยมาทำให้เป็นที่รู้จักมามากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าวัตถุดิบเหล่านี้มาจากฟาร์มออร์แกนิคและโครงการหลวงเป็นส่วนใหญ่ทำให้มั่นใจได้ถึงความสดสะอาดปลอดภัยและดีต่อสุขภาพ อีกทั้งเชฟยังหวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืนด้วย

ได้ฟังถึงปรัชญาที่มาของร้านแล้วก็เริ่มสนใจแล้วสิคะว่า อาหารที่ทำมาจากวัตถุดิบพรีเมียมเหล่านี้เมื่อรังสรรค์ด้วยฝีมือของเชฟที่มากประสบการณ์อย่างเชฟ เจอริโก้ แวน เดอร์ วูฟ แล้วจะออกมาเป็นอย่างไร

พร้อมแล้ว ตามมาชิมกันเลยค่ะ

ร้าน Cocotte นั้นตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 39 ที่ชั้น G ตึก 39 Boulevard

ด้านในตกแต่งธีม Farm house แต่ออกแบบมาให้ดูร่วมสมัย เน้นเรียบง่าย แต่มีสไตล์อยู่ในที ส่วนสีโทนน้ำตาลแดงนั้นก็ให้ความอบอุ่นและกระตุ้นความอยากอาหาร

ด้านหนึ่งของร้านเป็นโซนบาร์ ที่เห็นขวดที่วางเรียงรายแล้วก็พอเห็นภาพเลยว่าจะต้องมีเมนูค็อกเทลอร่อยๆ และไวน์ดีๆ หลากหลายระดับไหนให้เราได้เลือกสรร

ร้านมีมุมเก๋ๆ ให้เลือกนั่งหลายมุม ทั้งมุมโซฟา มุมโต๊ะไม้ยาว เก้าอี้สูง ไปถึงมุมสบายๆ ที่ให้ชมบรรยากาศของครัวเปิดได้อย่างใกล้ชิด

ด้วยความเป็นคนที่ชอบชีสเป็นทุนเดิม สิ่งหนึ่งที่เตะตาผู้เขียนตั้งแต่เดินเข้ามาก็เห็นจะเป็นตู้ชีสตู้ใหญ่

ใครไปเป็นสาวกชีส มาที่นี่จะฟินมาก เพราะเชฟที่ดูแลมีความรู้อัดแน่น และอัธยาศัยดี พร้อมจะแบ่งปันเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชีสชนิดต่างๆ ให้ฟัง

คอลเลกชันของชีสที่นี่ ทั้งความหายากของชีสบางตัว และความหลากหลายในแง่ประเภทของชีสนั้นเรียกว่าน่าจะเป็นอันดับต้นๆ ของกรุงเทพก็ว่าได้

เห็นชีสละลานตาแบบนี้เราเลยประเดิมจานแรกกันด้วยเมนู Farmer board (890B)

แค่เพียงจานแรกมาเสิร์ฟก็ทำให้เราต้องตาลุกวาวกันแล้ว

จานนี้จะรวมชีส 3 ชนิด และ cold cuts 3 แบบ ไว้ด้วยกัน ตกแต่งสวยงามด้วย condiments ต่างๆ ทั้งผักดอง ถั่ว และผลไม้แห้ง

ทานคู่กับขนมปัง Sour dough รสชาติก็จะเข้ากันพอดิบพอดี

ตัว cold cuts ของวันนี้เป็น Chorizo (Spain), Parma Ham (18 months, Italy) & Saussion (France)

ส่วนชีสที่เราได้ชิมวันนี้คือ Morbier (France), Reblochon (France) และที่น่าประทับใจคือ Goat cheese จากเชียงใหม่ของไทยเรานี่เอง ซึ่ง Goat cheese นี้เชฟตัดมาให้สามแบบคือแบบที่ cover ผิวด้านนอกด้วย Ash ด้วย Black Pepper และด้วย Garlic & Herb

ตัวชีสนั้นคุณภาพดี รสชาติเยี่ยม แบบที่ไม่ได้เจอมานาน จนเราทนไม่ไหวต้องขอซื้อกลับบ้านเพิ่มเติม

ถัดมา เราลองเมนูของว่าง ทานง่ายๆ อย่าง Accras “Morue” (240B)

เมนูปลาหิมะ  ที่นำไปฉีกและบดจนเนียน ก่อนที่จะนำไปตุ๋น ปิดท้ายด้วยการทอดจนขอบข้างนอกเหลืองกรอบ ก่อนจะหยด lemon mayonnaise ด้านบนให้รสอมเปรี้ยวมาตัดกับของทอด แก้เลี่ยนได้เป็นอย่างดี

เป็นเมนูกรอบนอกนุ่มในที่ใครๆ ก็ชอบกิน

ต่อมาด้วย Scallops & Oysters (640B)

เมนูนี้จัดจานมาสีสันสดใส มีโฟมเป็นลูกเล่น ตัวหอยเชลล์นั้นโรยเครื่องปรุงเพิ่มความจัดจ้าน โปะมาด้วยหอยนางรม โฟมหอยนางรม ท็อปด้วยสาหร่ายและน้ำจิ้มพอนซึ

เรียกได้ว่าเป็นเมนูรสชาติหลากหลาย มีกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นเล็กๆ ที่ได้จากพอนซึและสาหร่าย รสสัมผัสนุ่มๆ ตัดกับแผ่นข้าวเกรียบกรอบๆ ทำให้รสสัมผัสครบถ้วน ที่สำคัญคือหอยเชลล์ชิ้นโตที่ให้มานั้นสดหวานไม่ทำให้ผิดหวัง

และแล้วก็มาถึงจาน signature ที่จะต้องขออวดกันเสียหน่อย เพราะไอเดียเชฟนั้นสุดสร้างสรรค์

“Like a bone marrow” (890B) เป็นเมนูเด็ดที่มีไขกระดูกเป็นส่วนประกอบก็จริง แต่ที่เสิร์ฟมานั้นเป็นขนมปังกรอบ แก้มวัว และ ไข่นกกระทา ที่จัดเรียงวางมาเสียจนนึกว่าเสิร์ฟเป็นไขกระดูกทั้งท่อนอย่างที่หลายๆ ร้านทำกัน

นอกจากจะพิถีพิถันกับ presentation แล้ว เชฟก็ยังประณีตกับการปรุงเป็นอย่างมาก อย่างแก้มวัวที่กัดแล้วละลายยยในปากก็เกิดจากกระบวนการที่เชฟนำไปตุ๋นนานกว่า 24 ชม. เลยเชียว

จานนี้ฟินมาก กับไขกระดูกมันๆ หอมๆ ที่อบมาจนด้านนอกกรอบเกรียมนิดๆ กินกับขนมปังกรอบๆ แก้มวัวนุ่มๆ แยมส้มรสหวานอมเปรี้ยว แถมยังราดมาด้วยซอส  bearnaise เข้มข้น

อีกอย่างที่ถูกใจและแงะทานกันจนเกลี้ยงคือกระเทียมที่ confit มาทั้งลูกจนนุ่มหอมได้ใจ

ปิดท้ายมื้ออร่อยด้วยรายการ Paella-style risotto scallops (920B) อีกหนึ่งเมนูขายดีของทางร้าน

ตัว Risotto ทำจากข้าว Carnaroli ที่กะความสุกมาได้พอดีจนได้รสสัมผัสที่สมดุลกับวัตถุดิบอื่นๆ ในจาน ไม่ว่าจะเป็น หอยเชลล์ชิ้นโตที่จี่ด้านนอกมาจนเกรียมเล็กๆ ออกกรอบๆ กุ้งก็มี หอยแมลงภู่ก็มา ตกแต่งจนสีสดสวยด้วย สีสันธรรมชาติของพริกหวาน และ ถั่วลันเตา

และที่สิ่งที่ขาดไม่ได้ ที่จะทำให้จานนี้รุ่งหรือร่วงก็คือตัวซอสนั่นเอง ซึ่งเชฟทำออกมาได้กลมกล่อมด้วยชีส parmesan และ saffron sauce

จากนั้นก็มาถึงเวลาของของหวาน ซึ่งเราเลือก Pavlova (320B) ขนมหวานที่ทำจาก Meringue มาลอง

Pavlova ของที่นี่เสิร์ฟคู่กับผลไม้ตามฤดูกาลจากโครงการหลวง ทั้งกีวี่ ส้ม สตรอเบอร์รี่ มีไอศกรีมซอร์เบท์มะนาวรสเปรี้ยวมาตัดกับความหวานของ raspberry jelly

เท่านั้นยังไม่พอ ด้านบนจะเป็น Chantilly ครีมนุ่มๆ ฟูๆ ที่เมื่อราดซอสเสาวรสลงไปก็จะได้ความหวานอมเปรี้ยวที่ค่อนข้างลงตัว

ถามว่าจานนี้หวานไหม ส่วนตัวก็ยังรู้สึกว่าค่อนไปทางหวาน แต่ไม่ถึงกับหวานมากจนแสบคอ แต่เป็นหวานที่บาลานซ์แล้วด้วยความเปรี้ยวของผลไม้และซอส

จบกันไปแล้วสำหรับมื้ออร่อยที่คนกินก็อิ่มอกอิ่มใจไปตามๆ  กัน

พอดีได้อ่านเมนูเลยหมายมั่นปั้นมือว่ารอบหน้าจะมาลองชิม Tomahawk Australian Wagyu (1.4kg – 3,750B) เมนูเนื้อย่างชื่อเสียงกระฉ่อนของที่นี่ และเมนู Chicken “Perigourdin”Style (1.4kg – 1,890B) ที่ใช้เครื่องย่างชนิดพิเศษที่เรียกว่า Rotisserie ที่ Cocotte เค้าภูมิใจนำเสนอซึ่งเครื่องที่ว่านี้เป็นเครื่องอบกึ่งย่าง มีแกนหมุนได้โดยไฟจะอยู่ด้านล่าง หลังจากอบแล้ว เชฟจะเลาะไขมันใต้หนังออก แต่จะเหลือส่วนของหนังไว้ แล้วทาเนยซ้ำอีกครั้ง เมื่ออบกึ่งย่างด้วยวิธีนี้ เนื้อเช่นเนื้อไก่ก็จะนุ่มมาก นำไปสู่เมนูนี้ที่เป็นที่ชื่นชอบของลูกค้า

โดยรวมประทับใจกับบรรยากาศและอาหารมาก ที่นี่มาตรฐานสูง คุณภาพดี อยากจะหาอะไรมาติก็คิดไม่ค่อยออกว่าจะติตรงไหนได้ แม้ราคาจะค่อนข้างสูง แต่เมื่อเทียบกับของที่ได้ ทั้งคุณภาพวัตถุดิบและรสชาติ ก็ถือว่าอยู่ในจุดที่คุ้มค่า เลยลงเอยว่าคงเป็นอีกร้านที่ต้องได้มาทานบ่อยๆ อีกร้านหนึ่งอย่างแน่นอน

 

Comments

comments