5 วิธี พิชิตรัก ฉบับนักปีนเขา

เพิ่งผ่านวาเลนไทน์ไปหมาดๆ เลยมีโอกาสมานั่งคิดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับความรักกับเขาบ้าง

ในขณะที่ฟีดเต็มไปด้วยรูปดอกกุหลาบช่อใหญ่ ดินเนอร์หรูใต้แสงเทียน และ ตุ๊กตาหมีตัวโต เรากับสามีก็ได้แต่กินก๋วยเตี๋ยวหน้าปากซอยแล้วพากันเดินกลับบ้านไปนั่งพักผ่อนกันราวกับเป็นวันธรรมดาอีกวันหนึ่ง

ที่พูดมาไม่ได้ตัดพ้อ เพราะว่าก็เป็นกันแบบนี้มานานแล้ว แต่ก็เป็นจังหวะที่ทำให้แอบฉุกคิดเล็กๆ ว่าเอ๊ะ แล้วเคล็ดลับอะไรกันนะที่ทำให้ความรักของเราสองคนราบรื่น (ทั้งๆ ที่เป็นแบบเนี้ย)

ว่าแล้วก็นึกไปถึงสถานการณ์คล้ายๆ กันอย่างตอนฮันนีมูน ขณะที่คู่รักมากมายมีโอกาสไปสวีทหวานกันที่ญี่ปุ่นบ้าง มัลดีฟส์บ้าง สามีกลับลากเราไปปีนเขาที่ฮ่องกงสามวันติดจนร่างพัง เลยคิดได้ว่า อาจจะเป็นเพราะเราสองคนเอาหลักสำคัญบางอย่างของการปีนเขาด้วยกันมาใช้ในชีวิตคู่นี่ละถึงประคองความรักกันมาได้ ว่าแล้วก็เลยอยากจะมาแชร์กันค่ะ

 

จับมือกันไว้ให้แน่น

ปีนเขากับคนรัก ก็ไม่ต่างจากการเดินทางในเส้นทางสายรัก หลักๆ คือการประคับประคองกันและกันให้เดินก้าวต่อไปข้างหน้าได้โดยไม่ล้มคว่ำ

จะเหนื่อยจะชันแค่ไหน ขอแค่มีมืออีกฝ่ายกุมไว้แน่นๆ ให้อุ่นใจ แค่นี้ก็ทำให้คุณเอาเรี่ยวแรงจากไหนก็ไม่รู้มาฮึดสู้ได้อีกโข อีกทั้งยังแสดงถึงความไว้เนื้อเชื่อใจ ว่ายังมีอีกคนที่พร้อมจะล้มและลุกไปด้วยกัน

สาวๆ มักจะฟิน เวลามีคุณผู้ชายช่วยจูงเดิน แต่เอาจริงๆ บางทีคุณผู้ชายนี่แหละก็มีก้าวพลาดลื่นล้มกับเขาบ้าง แล้วเราเองก็จะตระหนักว่า การที่เขามีมือเราให้กุมก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า เพราะมือบางๆ คู่นี้ ก็สามารถจะเป็นหลักให้เค้าพักเกาะแถมยังมีแรงมากพอที่จะดึงให้เค้าลุกขึ้นมาสู้ใหม่เมื่อเขาล้มได้เช่นกัน

 

บางทีก็ต้องมีปล่อยมือกันบ้าง

จับมือกันไว้ก็ดี แต่บางจุดสวีทกันเกินพอดี ก็จะขวางทางเพื่อนร่วมทางคนอื่นๆ หรือทำให้ตัวเองนี่แหละไปต่อได้ช้าลง

ที่ต้องเรียนรู้คือจับจังหวะให้ได้ ว่าช่วงไหนควรเกาะกันไว้ ช่วงไหนปล่อยมือไปปลอดภัยกว่า

อย่างถ้าช่วงบันไดมีราวเกาะ เกาะราวเองเซฟกว่า หรือเวลาทางเดินอีกด้านแคบกว้างไม่เท่ากัน ก็อาจจะต้องคิดเผื่ออีกฝ่ายด้วย ว่าการจูงมือเราจะทำให้เขาลำบากหรือเสี่ยงมากขึ้นไหม

ฉันใดก็ฉันนั้น ในความรัก อย่าให้มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดต้องเสียสละเพื่อความต้องการของอีกฝ่ายมากเกินไป บางทีการเว้นช่องว่างให้ได้หายใจก็อาจจะได้ใจมากกว่าพยายามจะอบอุ่นตลอดเวลาจนกลายเป็นร้อนจนไม่อยากอยู่ใกล้

 

 

อย่าให้ระยะทาง(หรือความชัน)เป็นอุปสรรค

เวลาไปปีนเขา บางทีไปถึงเห็นป้ายระยะทางแล้วก็ใจแป้ว หรือบางครั้งเดินไปครึ่งทางแล้ว เจอความชันของเขาลูกหน้าเข้าไปก็ใจฝ่อ คำถามที่มีในใจเสมอคือจะถ่อไปให้ถึง หรือจะหันหลังกลับ

คล้ายกันความรักหลายครั้งก็ไม่ได้ง่ายดายไปเสียหมด อย่างความรักของบางคู่ เริ่มจากการคบหากันทางไกล หรือบางคู่ เจอสถานการณ์ยาก เจอคนรอบข้างไม่เข้าใจ ถ้าใจไม่สู้ ป๊อดไปก่อน กลัวไม่ไหว กลัวไม่รอด ก็คงไม่ได้เดินหน้าต่อจนถึงวันที่ได้ลงเอยด้วยกัน

ทุกครั้งที่เจอทางยากเต็มไปด้วยขวากหนามให้นึกไว้เสมอว่าตราบใดที่เราไม่ถอย ไม่หันหลังกลับ ไม่ทิ้งโอกาสนั้นไป วิวสวยๆ ที่จะทำให้เราลืมหายใจนั้นอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

 

ตั้งสติให้มั่น

ทุกย่างก้าวที่เราเดินไป อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้

บางจังหวะ พลาดนิดเดียว อาจไถลร่วงจากผาชัน บางจุด ล้มเพียงนิด ข้อเท้าก็อาจพลิกจนทำให้ไปต่อไม่ไหว

บางทีในความสัมพันธ์ เราทำให้เรื่องเล็กน้อย กลายเป็นเรื่องใหญ่ จากน้ำผึ้งหยดเล็ก กลับลุกลามจนความรักร้าวฉาน บ้างถึงขั้นต้องเลิกรากันไป

จะเดินไปในความรักหรือเดินขึ้นเขา ทุกๆ ก้าวก็ควรใช้สติพอๆ กัน

คิดก่อน ใตร่ตรองก่อน แล้วเราก็จะรอดพ้นจากกับดักทางจิตใจ

 

หยุดที่จะดมดอกไม้ริมทาง

การปีนเขา บางคนตั้งเป้าไว้ที่ยอดเท่านั้น การปีนขึ้น กลายเป็นช่วงเวลาที่จืดชืด ไร้ความหมาย

กับบางคน ระหว่างทาง แม้จะเป็นจุดที่ไม่มีวิวอะไรเลย แต่หากได้หยุดยืนจ้องหน้ายิ้มใส่ตากันและกัน สถานที่นั้นก็กลับกลายเป็นสถานที่พิเศษ อีกทั้งรอยยิ้มนั้นก็จะเป็นดังยาชูกำลังเพิ่มพลังให้เดินต่อไปให้ได้ถึงจุดหมาย

ไม่ต้องเป็นวาเลนไทน์ ไม่ต้องมีดอกไม้ช่อใหญ่ ขอแต่ให้ใช้ใจในทุกๆ วันที่อยู่ด้วยกัน ใส่ใจ เอาใจ เชื่อใจ ให้ได้อุ่นใจ แค่นี้ทุกๆ วันก็จะเป็นการเดินทางไปในเส้นทางสายรักที่ต่อให้ยังไม่ถึงยอดเขา ยังไม่เจอวิวสวยงามจับใจ แต่ทุกเวลาก็จะเป็นเวลาที่หอมหวานประทับใจ เพราะเรารู้จักที่จะคอยหยุดดอมดมกลิ่นดอกไม้ ณ ริมทาง

Comments

comments